คณะฯประชาธิปไตย แบบเผาบ้านเผาเมือง ปราชญ์ สามสี
๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐
The essence of war is a conflict in the understanding. But the source of the misunderstanding as a result of the war came from books and pens of those who can benefit from it. “
“เพราะเนื้อแท้ของสงครามคือความขัดแย้งในความเข้าใจ แต่ต้นตอของความเข้าใจผิดอันเป็นเหตุของสงคราม มาจากหนังสือและปากกาของผู้ที่ได้ประโยชน์จากมัน”
-ปราชญ์ สามสี –
แท้จริงแล้ววันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้ามีหลากหลายความรู้สึก เกี่ยวกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวโดยอ้างว่าต้องการประชาธิปไตยในประเทศไทย และรู้สึกว่าข้าพเจ้าคงถึงเวลาที่จะพูดถึงมันอีกครั้ง
– ข้าพเจ้าเห็นพวก “คลั่งประชาธิปไตย “เหล่านี้ นั่ง”มโน”เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย และใส่ร้าย สถาบันฯ … เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ นะครับ ข้าพเจ้าคงต้องเท้าความกันเสียก่อน
สำหรับคนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ เดิมทีมีพวก “คลั่งประชาธิปไตย ” อย่าง “ก.ศ.ร.กุหลาบ” และ “เทียนวรรณ”ก็พูดเรียกร้องประธิปไตย กันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว แต่เพราะ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” นิสัยเสียชอบแต่งนิยายนินทาเจ้านายแบบบิดเบือน และ ออกหนังสือพิมพ์เร่งเร้าให้มีรัฐสภาและด่าทอเจ้าราวกับคนบ้า ทั้งๆที่ รัชกาลที่๕ ทรงตระเตรียมการปฎิรูปชาติให้มีรัฐสภา และรัฐธรรมนูญไว้อย่างดีสุดท้าย “ก.ศ.ร.กุหลาบ”ต้องไปนอนโรงพยาบาลบ้า อยู่ สามสิบวันกว่าจึงจะหายวิกลจริต ส่วน “เทียนวรรณ”แย่หน่อยเพราะงานเขียนที่เขียนวิจารณ์เจ้านายในสมัยนั้น ดันไปหมิ่นประมาทเจ้านาย จึงได้รับโทษ ถูกโบย ๕๐ที และขังคุกยาวนานถึง๑๗ปี
ยุคต่อมา คณะกบฎน้ำลาย ร.ศ.๑๓๐ ดันหลงเชื่อได้รับเอาแนวทาง ก.ศ.ร.กุหลาบ มา”คลั่งประชาธิปไตย ” ก็อุตริคิดลอบปลงประชนม์ รัชกาลที่๖ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองกันเสียดื้อๆแต่สุดท้าย ความถึงรัชกาลที่๖เสียก่อน จึงติดคุกกันไป
ช่วงที่คณะกบฎน้ำลาย ร.ศ.๑๓๐ ก่อการ นาย ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าผู้ก่อการปฎิวัติ ๒๔๗๕ ก็มีอายุได้ ๑๑ ขวบ และชื่นชอบที่จะอ่านงานเขียนของ “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร กุหลาบ”เช่นกัน อีกทั้งคอยติดตามเหตุการณ์ ของคณะกบฎน้ำลาย ร.ศ.๑๓๐มาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในเวลาต่อมา นาย ปรีดี พนมยงค์ ได้กลายเป็น หัวหน้าคณะราษฎร ก่อปฎิวัติ ๒๔๗๕ นั้นก็ได้รับอิทธิพลมาจาก งานเขียนของ “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร กุหลาบ”อยู่พอสมควร
ประชาธิปไตยแบบไหนกันที่พวกเขาต้องการ?
สิ่งที่เห็นได้ชัดพอสมควรจากบทเรียนในอดีต คือ ในประวัติศาสตร์ของไทยนั้น ประชาธิปไตยไม่เคยให้อะไรนอกเหนือจากสงครามและการแย่งชิงที่เต็มไปด้วยการโกหกจริงๆครับ
โดยเฉพาะ พวก “คลั่งประชาธิปไตย ” สมัย ๒๔๗๕ ที่ก่อการชิงสุกก่อนห่ามนั้นก็เช่นกัน
“ประชาธิปไตย”กลายเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์ และทำให้ คนเลวคนนึงได้เป็นผู้นำที่อยุ่จุดสูงสุดของพีระมิดทางสังคม
ในการปฎิวัติ ๒๔๗๕ คณะราษฎร มี”อุบาย”อยู่หลายเรื่อง มีทั้งการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนาๆ ว่ามีประชาธิปไตยแล้วจะดีมีอารยะ ถึงกับแจกใบปลิวให้ร้ายสถาบันฯ, ,ออกข่าวว่ามีการจับพระบรมสานุวงศ์เป็นองค์ประกัน ออกอุบายกดดันรัชกาลที่๗ต่างๆนาๆ แล้วยังไงต่อ?
คณะราษฎร เมื่อได้อำนาจมาอยู่ในมือ พวกเขาก็เฉลิมฉลองการได้อำนาจกันอย่างเอิกเกริก!!!และใช้อำนาจ”ประชาธิปไตย”ลบประวัติศาสตร์ชาติอันเป็นรากทิ้งไปหลายอย่าง โดยเพ้อฝันไปว่านั้นคือการกระทำของอารยะ! แต่ต่อมา แม้มีประชาธิปไตยบ้านเมืองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ซ้ำร้ายกลับเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับการเลือกตั้งกันมา แต่ก็เกิดรัฐประหารกันเองหลายครั้งต่อหลายครั้ง ” และความรุนแรงของประชาธิปไตย เกือบจนลุกลามใหญ่โตจนเป็นสงครามกลางเมืองก็เคยเกิดขึ้นแล้ว สุดท้าย ความเท่าเทียม”ที่พวกเขาโป้ปดถึงนั้น สร้างให้ ประธานคณะราษฎรได้เป็นมหาโคตรอำมาตย์ วางตัวโก้หรูใหญ่โตกว่า พระมหากษัตริย์มาก แต่แนวร่วมคณะราษฎรกลับโดนหักหลังไปมาไม่ตายดีซักคน ….
เวลานั้นประเทศไทยเกือบเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤติการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง
นักการเมืองต่างแก่งแย่งชิงดี เพราะ”ประชาธิปไตย”กลายเป็นอำนาจที่หอมหวาน จนต้องแย่งชิงกัน ทำร้ายกันจนบ้านเมืองถูกทำลาย”ประชาธิปไตย”ในสมัยนั้นจึงเปรียบเสมือนเป็นถ้วยรางวัลบนซากปรักหักพังของความสับสนวุ่นวาย
———————————————
เมื่อย้อนดู”ความคลั่งประชาธิปไตย”ในอดีต ก็ต้องกลับมาดูปัจจุบัน ว่าลูกหลานคณะฯ”คลั่งประชาธิปไตย” เคยทำอะไรไว้กับประเทศนี้
ช่วง ๘๐ กว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทย หลังจากที่ “ต้นประชาธิปไตย”ได้ถูกปลูกลงในแผ่นดินนี้ ได้ผ่านวิกฤติการณ์ทางการเมืองมามากมาย โดยเฉพาะความแตกแยกของผู้คน จากผลไม้”ประชาธิไตย”
“พวกคลั่งประชาธิปไตย” หยิบมือหนึ่ง พยายามมาโดยตลอด ที่จะบูชาประชาธิปไตย โดยให้ประชาชนออกมาสู้เพื่อประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับ พวกเขาปลุกเร้ามวลชนโดยอ้างว่าเป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตยทางตรง ด้วยการยุยงส่งเสริมให้ผู้คน ” ละเมิดกฏหมายบ้านเมือง ใช้ความรุนแรง”ทำลายผู้คนที่เห็นต่าง สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง
ข้าพเจ้าก็สงสัย ประชาธิปไตยประเภทไหนกันที่สนับสนุนให้คนเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง!?
ข้าพเจ้า มองเห็นว่า นั้นไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” ใดๆเลย มีผู้คนบางกลุ่มหลงทางไปไกลแล้วต่างพาใช้ อำนาจ “ประชาธิปไตย” เพื่อสนองความเกลียดชังของตนเอง
ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการจะบอกว่า“ประชาธิปไตยไม่ดี” แต่อาการ “คลั่งประชาธิปไตย”เพื่อใช้อ้างในการทำร้ายชาติ มีอยู่จริงและนี่คือเรื่องอันตรายที่เกิดขึ้นจริงในสังคมของเรา
ข้าพเจ้าเห็นว่า พวก”คลั่งประชาธิปไตย”เหล่านี้แอบแฝงอยู่ในกลุ่มการเมืองมานานแล้ว และมีการแตกออกเป็นหลายกลุ่มซึ่งตลอดกิจกรรมของกลุ่มที่ “คลั่งประชาธิปไตย”กระทำอยู่นั้น ไม่ต่างอะไรกับการพยายาม ปลุกผี “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร. กุหลาบ” เพราะเห็น วนเวียน อยูกับการพยายามใช้อำนาจที่ได้จาก “ประชาธิปไตย” บิดเบือนประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานของพวกเราได้รับข้อมูลที่ผิดๆ เพื่อสอนให้เราเนรคุณบรรพบุรุษ และ จงเกลียดจงชังวัฒนธรรมของตัวเอง เกลียดชาติ ศาสน์ พระมหากษัตริย์ ในขณะที่ยกย่องบูชา ต่างชาติ …เพ้อฝัน ว่าจะประเทศตนเองจะได้ เป็นสาธารณะรัฐบ้าง สหพันธรัฐบ้าง เพื่อที่จะให้ต่างชาติยอมรับว่าเป็น “พวกเดียวกัน” …นับว่าเป็นตรรกะที่”กังขา”และเนรคุณบ้านเมืองอย่างมาก ในขณะเดียวกัน บางพวก”คลั่งประชาธิปไตย”ก็หัวรุนแรงถึงกับ วางระเบิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยอ้าง “ประชาธิปไตย”
ข้าพเจ้า น่ะสงสัยจริงๆ ประชาธิปไตยประเภทไหนกันที่สนับสนุนให้ผู้คน วางระเบิดสถานที่สาธารณะทำร้ายผู้บริสุทธิ์?!
เรื่องนี้เป็นข้อกังขามากว่าทำไม “ต้นไม้ประชาธิปไตย” ถึงผลิต “ผู้ก่อการร้าย “ได้อย่างนี้ หรือว่า แท้จริง “ต้นไม้ประชาธิปไตย” ที่เขากราบไหว้อยู่นั้น แท้จริงคือ”ต้นเนรคุณ”กันแน่?
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันเกิดนับไม่ถ้วน ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีการ เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยอ้างประชาธิปไตย ระเบิด เอ็ม๗๙ และปืนจำนวนมาก ถูกใช้ในเหตุการณ์เหล่านั้น ทุกวันนี้ยังคงมีผู้ได้รับผลกระทบจากการทำร้ายผุ้บริสุทธิ์อยู่ และพวก”คลั่งประชาธิปไตย”ที่เคลื่อนไหวเหล่านั้น ยังไม่เคยรับผิดชอบ ได้แต่หลบหนีออกนอกประเทศ และหันกลับมาอ้างประชาธิปไตยปลุกปั่นประชาชนให้ทำสงครามให้กับพวกเขาอีก
ช่วงนี้ พวก”คลั่งประชาธิปไตย” บางกลุ่ม เริ่มเปิดยุทธศาสตร์ แห่รำลึก ๘๕ ปีคณะราษฎร จัดงานเสวนา”ประชาธิปไตย”
แต่ ข้าพเจ้า น่ะสงสัย มันจะเป็นประชาธิปไตยประสาอะไร? ในเมื่อกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยไม่เปิดให้ประชาชนคนทั่วไปที่”คิดต่าง” เข้าไปแสดงความเห็นในงานเสวนา ?… กลับปิดประตูเสวนากันเองระหว่างคนคลั่งคณะราษฎร ในห้องประชุมเล็กๆ ที่มีแต่คนกันเองถามตอบกันไปมา ฝ่ายคนที่มาดูก็เรียกได้ว่าหน้าเดิมสนิท คิดๆก็นึกๆขำปนเศร้า…ว่านี่ มัน ประชาธิปไตย กันตรงไหน? การนั่งจับกลุ่มเม้ากับคนที่คิดแบบเดียวกัน ไม่น่าใช่แนวทางที่ดีของการเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตย แบบนี้ควรเรียกว่างานรวมญาติ หรือ เชงเม้ง ก็น่าจะเหมาะสมกว่าครับ ว่าไหม?
แม้ว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ นั้นเกิดขึ้นจากการจับพระบรมวงศานุวงศ์เป็นองค์ประกัน พวก”คลั่งประชาธิปไตย” บางกลุ่มก็พยายามออกมาบ่ายเบี่ยงแทน บรรพบุรุษของพวกเขาเองว่า “บรรพบุรุษผู้คลั่งประชาธิปไตยของพวกเขาไม่ผิด ในการปลูกต้นประชาธิปไตย”
ประเด็นนี้ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าพวกเขาคงต้อง”ตัดแว่นใหม่”เสียบ้าง เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า “บรรพบุรุษของพวกเขาจงใจปลูก”ต้นเนรคุน” แล้วดันเรียกมันว่า “ประชาธิปไตย” เสียมากกว่า
คุณดูสิครับ ตลอดเวลา๘๕ปี ประเทศไทย พบแต่เรื่องเลวร้ายภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่การโกงกินตั้งแต่ ระดับอบต.ยันระดับเมกะโปรเจคผลซ้ำร้ายก็เลยตกอยู่กับประชาชนชาวไทย มาโดยตลอด และพวก”คลั่งประชาธิปไตย” ก็ได้แต่ โทษระบบยุติธรรม โทษทหาร โทษพระมหากษัตริย์ โทษฝ่ายค้าน โทษประชาชนบางกลุ่ม แต่ไม่เคยโทษ “บรรพบุรุษของตัวเองเลย” ปล้นอำนาจเขามาแล้วไม่สามารถทำให้ประเทศชาติสมบูรณ์ได้ อีกทั้งไม่เคยโทษนักการเมืองผู้มีหน้าที่ในการบริหารประเทศเลย ทั้งๆที่”นักการเมือง” คือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดจากระบบประชาธิปไตย กลับละเลยหน้าที่ คดโกงประชาชน ซึ่งก็ตลอดเวลา๘๕ปี ที่ผ่านมา มีนักการเมืองมากมายเข้ามาในสภาอันทรงเกียรติ และกลับออกไปในสถานะนักโทษหนีคดี ก็มีให้หลายคน ข้าพเจ้าเห็นว่า พวกเราชาวประชาราษฎร คงต้องถามกลับไปยัง พวก”คลั่งประชาธิปไตย” บ้าง ว่า ทำไม “ต้นประชาธิปไตย”ที่พวกเขาปลูก นั้น ออกผลเป็น “คนเนรคุณ”เช่นนี้
ประชาธิปไตยที่ไปแสดงพฤติกรรมไม่ยืนถวายความเคารพ เพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนต์
ประชาธิปไตยที่บุคคลผู้หนึ่ง แสดงตัวอย่างในการเข้าไปเป็นประธานทำพิธีกรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ประชาธิปไตยที่เข้าไปบุกเลิกล้มการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา
ประชาธิปไตยที่ไม่ยอมรับคำตัดสินคดีความของศาลไทย
ทั้งหมดนี้มันถูกต้องแล้วหรือ
สุดท้ายนี้ ถ้าพวก”คลั่งประชาธิปไตย” จะชุมนุม เซงเม้ง วันที่ ๒๔ มิถุนายนอีกครั้ง ก็ไม่ต้องเผาบ้านเผาเมืองไปให้บรรพบุรุษผู้คลั่งประชาธิปไตยที่โลกนู้นอีกนะครับ! ข้าพเจ้าขอร้อง!
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟสบุ๊ก ปราชญ์ สามสี