มีความเป็นไปได้สูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศในสัปดาห์หน้าว่า สหรัฐยอมรับกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่จะกลับทิศทางนโยบายที่มีมานานหลายทศวรรษของอเมริกา และอาจทำให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมิรกา เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่า ทรัมป์อาจจะประกาศในระหว่างการกล่าวสุทรพจน์ ในวันพุธ (6 ธ.ค.) แต่ก็คาดว่าเขาอาจจะเลื่อนออกไปอีกเช่นกัน สำหรับคำมั่นในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ในการย้ายสถานทูตสหรัฐประจำอิสราเอล จากเมืองเทลอาวีฟไปยังเยรูซาเลม จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และอีก 2 แหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐ เมื่อวันศุกร์ ซึ่งย้ำว่าทรัมป์ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในประเด็นนี้
ชาวปาเลสไตน์ต้องการให้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของรัฐในอนาคตของตน และประชาคมระหว่างประเทศไม่ยอมรับการกล่าวอ้างกรรมสิทธิเหนือเมืองทั้งหมดของอิสราเอล ซึ่งเยรูซาเลมเป็นที่ตั้งศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของทั้ง 3 ศาสนาคือ จูดาห์ อิสลาม และคริสต์
การเปิดเผยแผนการประกาศของทรัมป์ ซึ่งจะเบี่ยงเบนออกจากประธานาธิบดีคนก่อนๆ ของสหรัฐ ที่ยืนยันว่าสถานะของเยรูซาเลมจะต้องตัดสินใจด้วยการเจรจา ถูกวิจารณ์จากทางการปาเลสไตน์ (พีเอ) และจะสร้างความโกรธเคืองในโลกอาหรับอย่างแน่นอน
และมันอาจเป็นการเผยให้เห็นความพยายามทางการทูตครั้งใหม่ของรัฐบาลสหรัฐ นำโดยนายจาเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยและที่ปรึกษาอาวุธโสของทรัมป์ ในการรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพ อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ที่ชงักงันมานาน
นายนาบิล อาบู รูไดนาห์ โฆษกของประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ผู้นำชาวปาเลสไตน์ กล่าวว่า การยอมรับของสหรัฐในการให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จะ “ทำลายกระบวนการสันติภาพ” และ “บ่อนทำลายความมั่นคงในภูมิภาค”
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะสร้างความพึงพอใจแก่กลุ่มการเมืองฝ่ายขวาที่ฝักใฝ่อิสราเอล และเคยช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และสร้างความพอใจแก่รัฐบาลอิสราเอล พันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐด้วย.
————————————————————————————————-
สันนิบาตอาหรับเตือนทรัมป์อย่ารับรองสถานะเยรูซาเลม
เลขาธิการใหญ่ของสันนิบาตอาหรับเรียกร้องประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมรับกรุงเยรูซาเลมในฐานะ “เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ” ของอิสราเอล มิเช่นนั้นแผ่นดินตะวันออกกลางจะลุกเป็นไฟ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ว่าสันนิบาตอาหรับซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงไคโร เผยแพร่แถลงการณ์ของนายอาเหม็ด อาบูล เกอิต เลขาธิการใหญ่ ว่าหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจยอมรับกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล นอกจากเป็นการดำเนินการที่ “ไม่ชอบธรรม” แล้ว ยังไม่ใช่หนทางเหมาะสมเพื่อสร้างเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในตะวันออกกลาง มีแต่จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงและส่งผลให้ภูมิภาคต้อง “ลุกเป็นไฟ” มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เนื่องจากเป็นการมอบผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนเพียงฝ่ายเดียว นั่นคือรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงและวุ่นวายทั้งหมดในตะวันออกกลาง
นายอาเหม็ด อาบูล เกอิต เลขาธิการใหญ่สันนิบาตอาหรับ
แถลงการณ์ดังกล่าวของเลขาธิการใหญ่สันนิบาตอาหรับมีขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่ว ว่าผู้นำสหรัฐเตรียมแถลงในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ประกาศยอมรับกรุงเยรูซาเลมในฐานะ “เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ” ของอิสราเอล และการเตรียมย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟ ที่ถือเป็นเมืองหลวงทางราชการของอิสราเอล ไปตั้งยังกรุงเยรูซาเลมแทน
ด้านประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ กล่าวว่ากระบวนการเจราสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล “ถือเป็นอันสิ้นสุด” ในกรณีที่สหรัฐยอมรับสถานะของกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ส่วนกลุ่มฮามาสประกาศเตรียม “เคลื่อนไหวทางทหารครั้งสำคัญ” เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐ “ยึดครอง” กรุงเยรูซาเลมผ่านการมอบอำนาจให้อิสราเอล
ทั้งนี้ สหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ไม่เคยยอมรับกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของฝ่ายใด โดยยืนยันว่าต้องเป็นการตัดสินผ่านการเจรจาร่วมกันอย่างสันติระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เท่านั้น ขณะที่แม้สภาคองเกรสสหรัฐผ่านร่างกฎหมายสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเยรูซาเลม เมื่อปี 2538 เพื่อเรียกร้องการย้ายสถานที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตในอิสราเอล แต่หากไม่เห็นชอบ กฎหมายระบุให้ประธานาธิบดีต้องลงนามคัดค้านทุก 6 เดือน เพื่อให้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐตั้งอยู่ที่กรุงเทลอาวีฟต่อไป ซึ่งทรัมป์มีเวลาถึงวันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.นี้ตามเวลาท้องถิ่น ในการลงนามชะลอการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้อีกครั้ง.
คลิปประกอบ : Al Jazeera English