ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อช่วงเย็นวันที่ 22 พฤษภาคม ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมทั้งจับกุมตัวแกนนำบางส่วนไปดำเนินคดี ปรากฏว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท และแกนนำผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก “Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งในโอกาสครบรอบ 4 ปี การรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยชี้ว่า ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็น 4 ปีแห่งความสูญเสีย เป็น 4 ปีที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของคณะรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งอย่างสันติ เรียกร้องสิทธิอันควรเป็นของพวกเขาและประชาชนไทยทุกคน ได้ถูกจับกุมไปอย่างน้อย 14 คน กรณีนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นี่คือ 4 ปีที่ชาวไทยไร้สิทธิเสรีภาพ
นี่ไม่ใช่แค่การละเมิดต่อผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 14 คน ไม่ใช่แค่การละเมิดต่อผู้ชุมนุมจำนวนมากที่ออกมาแสดงสิทธิเสรีภาพของตนเองในวันนี้ แต่ยังเป็นการละเมิดต่อคนไทยทั้งประเทศที่อยากเห็นการเลือกตั้งเพื่อให้ประเทศของเราหลุดพ้นจากระบอบการเมืองของคณะรัฐประหาร ผมขอยืนยันว่า สิทธิการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องได้รับ และผมขอให้กำลังใจผู้ที่ออกมาชุมนุมในวันนี้ ทุกคนคือผู้ที่กล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้อง แม้จะต้องรับผลอันหนักหนาสาหัสจากสิ่งที่รัฐบาลทหารเรียกว่า “กฎหมาย”
ไม่ใช่แค่เสรีภาพเท่านั้น ที่เราสูญเสียไปใน 4 ปีภายใต้ คสช. มันยังเป็น 4 ปีที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า การปราบคอรัปชั่นโดยรัฐบาลเผด็จการไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการตรวจสอบถ่วงดุลจากพรรคการเมืองและประชาชนไม่สามารถทำได้ภายใต้ระบอบแบบนี้
นี่เป็น 4 ปีที่พิสูจน์ว่า “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือการปฏิรูปใต้อำนาจรัฐบาลทหาร ไม่มีวันเป็นการปฏิรูปเพื่อประชาชน ซ้ำร้ายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ออกมาในยุค คสช. ซึ่งจะยังคงอยู่กับสังคมไทยไปอีกนาน มรดกจากการรัฐประหารเหล่านี้จะทำให้ประเทศจมปลักอยู่กับที่ และกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย การลงทุนจากต่างประเทศลดฮวบ จีดีพีโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน เป็น 4 ปีที่เราเสียโอกาสในการวางนโยบายที่ชาญฉลาด รับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่มากับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมในระดับสากล
“ผมพูดเสมอว่าชีวิตผมผ่านการรัฐประหารมา 5 ครั้ง ในเวลาเพียง 40 ปี มันมากเกินไปแล้วสำหรับประเทศไทย ที่อยู่ๆ ก็มีกระบวนการนอกกฎหมายมาขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตย การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง นักการเมืองต้องถูกตรวจสอบโดยประชาชนและองค์กรตามกฎหมาย ไม่ใช่ด้วยคณะรัฐประหารที่ไม่มีใครตรวจสอบได้”
นายธนาธร กล่าวอีกว่า ผู้ที่เรียกร้องการเลือกตั้ง ผู้ที่ออกมาแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพอันพึงมีของพลเมือง ไม่ควรถูกดำเนินคดี ตรงกันข้าม ผู้ก่อรัฐประหารและผู้ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องถูกดำเนินคดี ในอนาคตอันใกล้ มรดกของคณะรัฐประหารต้องถูกลบล้างได้โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เราทุกคน ทุกพรรคการเมือง ต้องร่วมกันปักธง สร้างบรรทัดฐานนี้ให้เป็นจริง เพื่อที่จะไม่มีใครกล้าทำรัฐประหารอีกต่อไป
“อนาคตใหม่ที่ไม่มีรัฐประหาร คืออนาคตที่ประชาชนจะได้กำหนดชะตาของตนเอง คืออนาคตที่อำนาจสูงสุดเป็นของเราทุกคน” นายธนาธร กล่าว
สำรวจคดี “คนอยากเลือกตั้ง” ในรอบ 115 วัน
ผ่านมา 115 วันนับจากมีการชุมนุมครั้งแรกของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ที่ลานสกายวอล์กเขตปทุมวัน กทม. เมื่อ 27 ม.ค. จนถึง 22 พ.ค. บีบีซีไทยสำรวจพบว่าทั้งแกนนำและแนวร่วมได้ถูกตั้งข้อหาคนละหลายกระทงในการจัดกิจกรรมตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา โดยทุกคดีที่เคลื่อนไหวในส่วนกลาง แกนนำจะถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ด้วย ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดด้วยการจำคุกไม่เกินเจ็ดปี นอกเหนือจากข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และผิด พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 22 พ.ค. นั้น นอกเหนือจากความผิดในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และผิด พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ ยังมีความผิดฐานลักไฟฟ้า อีกด้วยเนื่องจาก พนักงานการไฟฟ้านครหลวง เดินทางเข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ว่า ขณะที่ออกตรวจพื้นที่บริเวณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ลักเอากระแสไฟฟ้า โดยจั๊มไฟไปใช้ภายในสถานที่ชุมนุม ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์