15 ส.ค. 60 – นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ผู้ต้องหาในความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ในวันนี้เป็นวันที่ศาลจ.ขอนแก่น ได้ขอเบิกตัวผู้ต้องหามาเพื่อสอบพยานโจทก์ ครั้งที่ 2 ตามที่ได้กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 15-17 สิงหาคมแต่ด้วยผู้ต้องหาได้แถลงต่อศาลให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้อหา โดยทีมทนายความมีหน้าที่ทำตามความต้องการของผู้ต้องหาและครอบครัวของผู้ต้องหา จึงทำการแถลงต่อศาล ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาให้การรับสารภาพแล้วนั้น ศาลท่านจึงมีคำสั่งพิจารณาคดีความทันที
“โดยมีคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาตามความผิดประมลกฎหมายอาญา มาตรา112 ทั้งหมด 5 ปี แต่ด้วยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงเห็นควรลดโทษลงครึ่งหนึ่ง โดยคงเหลือ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้รับโทษมาตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2559 ซึ่งจนถึงขณะนี้ผู้ต้องหานั้นจะครบกำหนดการคุมขัง 8 เดือน ในวันที่ 22 สิงหาคมที่จะถึงนี้ เท่ากับว่าผู้ต้องหาจะมีการนับวันคุมขังหลังมีคำพิพากษาในคดีนี้ต่อไปอีก 1 ปี 10 เดือน หรือ 22 เดือน”
ทนายความนายจตุภัทร์ กล่าวว่าสำหรับการยื่นขออุทรณ์ต่อศาลหรือไม่นั้นคงต้องปรึกษากับครอบครัวและผู้ต้องหาอีกครั้ง ซึ่งมีเวลา 30 วันตามขั้นตอนของกฎหมาย ทีมทนายความจะกลับไปประะสานงานร่วมกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้อง ทั้งการเข้าเยี่ย่ม และการสู้คดีซึ่งยังเหลืออยู่ในชั้นศาล แยกเป็นศาล มทบ.23 ว่าด้วยความมั่นคง และ ศาลจ.ภูเขียว ตามความผิดกฎหมายประชามติ
ขณะที่นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า เมื่อลูกถูกศาลพิพากษาให้จำคุกครอบครัวก็เสียใจและเชื่อว่าทุกครอบครัวไม่มีใครอยากให้ลูกนั้นต้องถูกจำคุก คดีความนี้เราต่อสู้กันมานานกว่า 8 เดือน มีการยื่นขอประกันตัวมากถึง 10 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการประกันตัว ดังนั้นการที่ไผ่ ให้การรับสารภาพมีเหตุผลอยู่ 2 อย่าง คือความไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะเรามีการต่อสู้คดีความนี้มาโดยตลอด ด้วยหลักฐานที่ไผ่ คัดลอกข้อความของเว็บไซต์บีบีซีไทย มาลงในเฟชบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นการกระทำที่คนอีก 2,500 คนกระทำการเช่นกันแต่มีเพียงไผ่ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีและไม่ให้มีการประกันตัว
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่าอีกทั้งการพิจารณาคดีความดังกล่าวนั้นเป็นทางลับ ซึ่งถือว่าเป็นการสู้แบบถูกบีบบังคับและไม่มีอะไรที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แม้องค์กรระหว่างประเทศจะออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ก็ตาม อีกหนึ่งเหตุผลคือการที่ไผ่ ต้องการยุติความขัดแย้งในด้านต่างๆลงด้วยตัวเอง เพราะที่ทราบคือคดีนี้สร้างความขัดแย้งเกิดขึ้นในด้านต่างๆดังนั้นเมื่อลูกตัดสินใจก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด
“ก่อนที่ลูกชายผมจะให้การรับสารภาพ ศาลได้ขอพูดคุยกันในห้องเป็นความลับ โดยมีผม มีแม่ไผ่ และ ไผ่ พูดคุยกับท่านผู้พิพากษา ว่าให้รับสารภาพ จากนั้นก็จะเข้าสู่การพิจารณาคดี รายละเอียดต่างๆผมไม่ขอบอกแต่บอกได้เพียงว่า เมื่อศาลพิจารณาคดีออกมาแบบนี้มันคนละเรื่อง ศาลไม่ทำตามที่พูด แต่เมื่อมีคำสั่งมาแล้วเราก็ต้องดำเนินการในด้านต่างๆต่อไป คดีที่เหลืออีก 2 คดีเราก็สู้กันไป วันนี้กระบวนการยุติธรรมของไทยแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร”
นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่าสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้อนุมัติการสำเร็จการศึกษาของบุตรชายแล้วในคณะนิติศาสตร์ และได้มีการขึ้นทะเบียนเข้ารับพระราทานปริญญาบัตรในช่วงปลายปีนี้ พร้อมกับนักศึกษาของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทุกคณะ ดังนั้นไผ่ คงเข้ารับพระราชทานปริญญาในปีนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ดีจากนี้ไปเมื่อไผ่พ้นโทษ เจ้าตัวจะมาทำหน้าที่ทนายความเพื่อต่อสู้ให้กับคนที่ไมมีทางสู้ สู้เพื่อสิทธิมนุษยชน สู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องตามที่ตนเองนั้นได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ครอบครัวก็ไม่ห้ามขอเพียงไผ่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำในสิ่งที่ถูกต้อง.