จริงหรือ???สหรัฐเคยมีรัฐประหาร!!! ค้นคำตอบจาก JFK ตะลึงคนอเมริกัน 1ใน3 อยากให้กองทัพรัฐประหาร!!!
ดูท่าว่าจะยังไม่จบลงสำหรับการประท้วงในสหรัฐฯหลายรัฐไม่พอใจผลการเลือกตั้งที่ได้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ที่นิวยอร์ก ชาวสหรัฐฯหลายพันคนได้เดินออกมาประท้วง ปิดการจราจร ซึ่งเป็นบรรยากาศของประเทศประชาธิปไตย ต้นแบบของประชาธิปไตย แต่ถ้ามาดูลึกๆในความรู้สึกของคนอเมริกันต้องกลับไปดูโพลของยูโกฟ (YouGov) บริษัทรับสำรวจความคิดเห็นทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการเมืองและปัญหาสาธารณะในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมา
โดยโพลดังกล่าวออกมาในวันที่ 12 ก.ย. 2558 ปรากฏว่ามีคนอเมริกันมากถึง 29% ที่สนับสนุนให้มีการทำรัฐประหารต่อรัฐบาลของตนเอง ในขณะที่ 41% ไม่เห็นด้วย กระนั้นคนถึง 29% ที่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร คือคนที่อยู่ในสภาวะกดดันทางความรู้สึกสำหรับความเป็นไปในสังคมอเมริกัน และเมื่อลงลึกไปก็จะเห็นว่าผลสำรวจมีประชาชนถึง 43% เป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคต้นสังกัดของโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นชอบกับการทำรัฐประหาร ในขณะที่มีคนสังกัดพรรคเดโมแครตเพียง 20% เท่านั้น ที่เห็นชอบในการทำรัฐประหาร ขบวนดังกล่าวนี้อาจสะท้อนให้เห็นความรู้สึกลึกๆของคนอเมริกัน ในสภาพการณ์ที่สังคมย่ำแย่ และตกต่ำภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่สำนักวิจัยอีกแห่ง คือ “แกลลัป โพลล์” ที่ระบุว่า ในเวลานี้มีชาวอเมริกันเพียง 26 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้สึกพึงพอใจต่อความเป็นไปต่าง ๆ ของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากระดับ 30 เปอร์เซ็นต์ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนกรกฎาคม
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯเมื่อปี 2008 และได้ก้าวขึ้นครองอำนาจเมื่อเดือนมกราคมปี 2009 เป็นต้นมา ระดับความพึงพอใจโดยเฉลี่ยของชาวอเมริกัน ต่อภาพรวมในด้านต่างๆ ของประเทศไม่เคยอยู่สูงเกินกว่าระดับ “ 27 เปอร์เซ็นต์” แม้แต่ปีเดียว
อย่างไรก็ตามพบข้อมูลซึ่งเป็นบทความชื่อว่า JFK – ใครว่าอเมริกาไม่เคยมีรัฐประหาร ซึ่งเขียนโดย Cozy ในบล็อกโอเคเนชั่น ระบุวันลงบทความ วันพุธ ที่ 6 พฤษภาคม 2552 โดยเป็นการตั้งคำถาม พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่าแท้ที่จริงแล้วสหรัฐเคยมีเหตุการณ์รัฐประหารเกิดขึ้นหรือไม่ ในขณะที่ผู้คนทั่วไปรับรู้เพียงว่า ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย ประเทศนี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเกิดขึ้น ทั้งนี้บทความดังกล่าวเริ่มต้นที่คำให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก่อนชวนให้ร่วมกันคิดว่าจริงๆแล้วสหรัฐอเมริกา เคยมีการยึดอำนาจหรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้น ผู้เขียนได้ชวนลองเข้าไปค้นหาในหนังดัง เรื่องหนึ่ง ที่สร้างจากประวัติอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี ที่ถูกลอบสังหาร เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2506 นั่นเอง
และถึงวันนี้อดีตผู้นำสหรัฐคนนี้ก็ถูกลอบสังหาร ผ่านมาแล้ว 53ปีพอดี!!!
JFK – ใครว่าอเมริกาไม่เคยมีรัฐประหาร…..
Cozy ในบล็อกโอเคเนชั่น ระบุวันลงบทความ วันพุธ ที่ 6 พฤษภาคม 2552
1. วันอาทิตย์ผมฟังการให้สัมภาษณ์ของ ปธน. บารัค โอบาม่า แล้วรู้สึกว่าอยากจะเอามาขยายความหน่อย
คือมีคนถามท่านปธน.ว่าหลังจากทำงานมาระยะหนึ่งรู้สึกอย่างไรบ้าง อะไรที่ดี อะไรที่แย่ ทำนองนี้ ซึ่งโอบาม่าท่านก็ตอบๆไป จนมีประโยคหนึ่งที่ท่านตอบเรื่อง “ความไม่ค่อยชอบใจ” ที่ได้เป็นปธน.คือ ท่านบอกว่า จริงๆแล้ว ตำแหน่ง ปธน. ของอเมริกาไม่ได้มีอำนาจมากมายอย่างที่คิด จริงๆแล้วเหมือนกับว่าท่านเป็นแค่ศูนย์กลางของอำนาจ (ประมาณว่าทำได้แค่คอยรับลูก-จ่ายลูก) ไม่สามารถจะทำอะไรได้ดังใจในทันที (บารัคใช้สำนวนว่า cannot press the button)
ผมเองเห็นพวกเสื้อแดงที่เชื่อทักษิณบ้าง สามเกลอบ้าง หมอแหวงบ้าง แล้วชูป้ายจะล้มอำมาตย์ จะล้มโน่นล้มนี้ แล้วยกตัวอย่างประเทศอย่างอเมริกาว่าสุดยอดประชาธิปไตย ไม่มีชนชั้น ก็อดขำไม่ได้
2. ใครว่าอเมริกาไม่มีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ใครว่าอเมริกาไม่เคยมีรัฐประหาร ก็น่าจะเริ่มต้นจากการลองหาภาพยนตร์เรื่อง JFK มาดู
จอนห์ เอฟ เคนเนดี้ ถือเป็นปธน.ที่หนุ่มที่สุดคนหนึ่ง เขาเข้ามาในยุคที่สงครามเย็นกำลังร้อนระอุ เคนเนดี้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอเมริกาหลายๆอย่าง เขาทำสำเร็จส่วนหนึ่ง คือเพิ่มสิทธิคนผิวดำจนเท่าคนขาว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการเลือกตั้ง การเข้าศึกษา การใช้บริการสาธารณะ ที่รัฐทางใต้บางรัฐไม่ยอมให้คนดำใช้ ก็มาเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ และการปราบปรามพวกมาเฟียจนราบคาบ
แต่เมื่อเคนเนดี้เข้าไปแทรกแซงด้านกิจการทหารและความมั่นคง การพยายามถอนทหารออกจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ การตัดงบประมาณการทหาร รวมทั้งมีการเจรจาอ่อนข้อให้กับครุตชอฟ (ในกรณี 13 วันขีปนาวุธ ที่ทำมาเป็นหนังเช่นกัน) แต่ที่สำคัญคือกรณีปฏิบัติการอ่าวหมู (Bay of Pigs Invasion) ที่ปฏิบัติการครั้งนั้นได้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของสหรัฐว่าเป็น – ความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ – (Perfect Failure) เป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในสมัยการปกครองของ จอห์น เอฟ เคนเนดี้
ภาพยนตร์เรื่อง JFK เปิดเรื่องในวันที่ เคนเนดี้ถูกลอบสังหารก่อนที่จะให้ Jim Garrison (Kevin Costner) อัยการรัฐได้เกิดความสงสัยและพยายามรื้อคดีหาข้อมูลมาฟ้อง David Ferrie (Joe Pesci) ที่เขาเชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดกันสังหารเคนเนดี้ และ Lee Harvey Oswald (Gary Oldman) ที่ถูกลงโทษว่าเป็นคนยิงเป็นแค่แพะรับบาป
และเมื่อสืบลึกเข้าจริงๆ เขาก็ยิ่งพบว่าองค์กรที่จัดการกับปธน.เคนเนดี้มันยิ่งใหญ่กว่าที่คิด รายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องมีกระทั่ง นายทหารระดับสูง เจ้าหน้าที่ของ เอฟบีไอ ซีไอเอ ไปจนถึง ปธน.ลินดอน จอนห์สัน ที่ดำรงตำแหน่งถัดมา (ว่ากันว่า จอร์จ บุช คนพ่อก็เกี่ยวข้องด้วย)
โอลิเวอร์ สโตน ใช้เวลาสามชั่วโมงเศษๆในหนังอย่างคุ้มค่า รายละเอียดทุกอย่างชัดเจนน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงของตัวแพะอย่าง ลี ฮาร์วี ออสวอลล์
หนังเปิดเรื่องเมื่อ เวลา 11:40 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้และภรรยา แจคเกอร์ลีน (Jacqueline Kennedy)ได้เดินทางมาถึง สนามบินเลิฟฟิลด์ ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ตามกำหนดการเพื่อหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2
พอรถขบวนแล่นตัดเข้าถนนเอล์ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส เมื่อเวลา 12:30 น. เสียงปืนก็ดังขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารที่บริเวณนี้ และผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ ก็ถูกยิง เคนเนดี้ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตลงเมื่อเวลา 13:00 น.
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นในอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส พวกเขาก็พบปลอกกระสุนปืนไรเฟิลที่ยิงแล้วจำนวน 3 ปลอกที่ชั้น 6 ของอาคารหลังนี้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบปืนไรเฟิล ซุกอยู่ในซอกที่มีกล่องบังอยู่ จากการตรวจลายนิ้วมือในภายหลังพบว่าลายนิ้วมือที่อยู่บนกล่องนั้นตรงกับลายนิ้วมือของ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) และเมื่อเวลาประมาณ 13:50 น. ลีก็ถูกจับและถูกยิงตายอีกแค่สองวันต่อมาโดยแจ๊ค รูบี้
แค่ไม่กี่วัน ทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เร็น (Warren Commission) ต่างก็สรุปคดีนี้ตรงกันว่า ลี ฮาร์วี่ ออสวอลด์ เป็นผู้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ แต่เพียงผู้เดียว โดยเขาใช้ปืนไรเฟิลที่ทำในอิตาลี แบบแมนนิเชอร์ คาร์ซาโน (Mannlicher-Carcano) และอ้างว่าเจ้าหน้าที่พบบัตรประจำตัวปลอมของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Selective Service System) ที่ลีใช้ชื่อว่า อเล็ก เจมส์ ไฮเดลล์ (Alek James Hidell)
ภาพสุดท้ายที่ยังมีลมหายใจของ จอนห์ เอฟ เคนเนดี้
3. ข้อโต้แย้งของสโตน เอาแค่เรื่องการยิงจากบนตึกชั้นหกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
จิม แกริสันนำนักวิเคราะห์ขึ้นไปลองเอาปืนไรเฟิลส่องกล้องดูก็พบว่าที่จุดนี้เมื่อส่องไปยังจุดที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น เขามองไม่เห็นเป้ายิงเพราะมันถูกต้นไม้บังพอดี
และจากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพตอนที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น กระสุน 3 นัดได้เจาะร่างเขาในเวลาน้อยกว่า 6 วินาที แต่จากการยิงปืนไรเฟิลและขึ้นลำใหม่เพื่อยิงครั้งต่อไปนั้น (ทั้งๆที่ทำแบบไม่เล็งเป้าด้วยนะ) ต้องใช้เวลาราว 2.3 วินาทีต่อครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ จะยิงกระสุนทั้ง 3 นัด
ที่แปลกที่สุดคือ เมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายของนักข่าวที่ตามตำรวจขึ้นไปตอนที่พวกเขาพบปืนไรเฟิลนั้น ก็ปรากฏว่าในภาพนั้นไม่ใช่ปืนไรเฟิลชนิด แมนนิเชอร์ คาร์ซาโนแต่เป็นชนิดเมาเซอร์ (Mauser) ต่างหาก
ไม่นับว่าระบบรักษาความปลอดภัยที่ห่วยแตก ทีมรปภ.ของเคนเนดี้ถูกเปลี่ยนตัวยกแผงแค่สัปดาห์เดียวก่อนถูกลอบสังหาร / การเปลี่ยนเส้นทางเดินรถตามจราจร /รถจะต้องไม่เปิดประทุน / หน้าต่างบนตึกทุกบานต้องปิด / และที่สำคัญคือรถวิ่งช้ามากๆแค่ 10 ไมล์/ชม. (ตามกฎ รปภ. รถคนสำคัญต้องวิ่งอย่างต่ำ 40 ไมล์/ชม.)
ฟังดูก็อดนึกเมื่อเดือนที่แล้วที่พัทยา ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่ารถนายกรัฐมนตรีจะต้องมาติดรอไฟแดง (ทำยังกับล่อเป้าให้พวกเสื้อแดงเข้ามารุม)
ทุกอย่างมันไม่ได้แม้แค่ระบบการป้องกันภัยขั้นต่ำที่สุด
จิม แกริสัน แจงว่า 3 ปีหลังจากเกิดเรื่อง พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายสิบคนต้องเสียชีวิตลงอย่างผิดธรรมชาติ เช่น ถูกฆ่า / โดนปล้น / จมน้ำ / เกิดอุบัติเหตุ / หัวใจวาย ฯลฯ
ภาพยนตร์เรื่อง JFK จัดว่าเป็นหนังแนว ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ครับ คือเอาเข้าจริงๆก็ไม่อาจหาอะไรมายืนยันได้ และคนที่รู้เรื่องจริงๆก็ไม่ยอมเปิดปาก
มันทำให้ผมคิดถึงการลอบสังหาร นาย สนธิ ลิ้มทองกุล บอกตรงๆนะครับ ผมคิดว่าคุณสนธิแกแถลงวันอาทิตย์น่ะ แกกั๊กไว้แยะมาก เบื้องหลังการถูกลอบฆ่าของแกบางที่อาจมากกว่าที่เราคิด ที่สำคัญคือช่วงเดือนสองเดือนมานี้มีข่าวการลอบสังหารบุคคลสำคัญบ่อยมาก
แม้แต่นายกฯอภิสิทธิ์ก็มีรายชื่อโผล่มาด้วย ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในการปิดบัญชี !!!!!??????
4. ในหนังแสดงภาพถ่ายจากกล้องของผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับคำให้การของพยานขณะที่ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ถูกลอบสังหารนั้นแสดงให้เห็นสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้นมากมาย เช่น มีควัน (ที่จิมคิดว่ามาปากกระบอกปืน) พุ่งออกมาหลายจุดตามพงไม้ (แต่พยานที่เห้นไม่มีใครถูกเรียกไปสอบ)
ภาพถ่ายจากพยานที่ยืนอยู่ริมถนนตรงกันข้ามจับภาพชาย 2 คนนั่งอยู่ริมถนนบริเวณป้ายนั้นซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้กับเคนเนดี้มากที่สุด ชายทั้ง 2 พบว่าเมื่อรถของประธานาธิบดีแล่นมาถึง หนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืนกางร่ม ที่มันน่าแปลกก็เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส และชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่กางร่ม ที่สำคัญคือเขากางร่มออกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็หุบมันลง
และวินาทีเดียวกันนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น!
สิ้นเสียงปืนความโกลาหลก็บังเกิด คนเช่นผมก็จะวิ่งหนี (หรืออย่างน้อยๆก็หมอบ) ยกเว้นชาย 2 คนที่ว่ากลับทรุดตัวนั่ง ลงที่เดิม หนึ่งในนั้นที่เป็น “ชายผิวคล้ำ” (Dark complected Man) หยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศ (อาจเป็นวิทยุทหาร) มาจ่อที่ปาก เขาก็ลุกขึ้นยืนเอาวิทยุเหน็บหลังแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูหนังเรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับ ว่าเคนเนดี้ถูกพวกเดียวกันนั้นแหละซัดจนเละ แถมยังเป็นการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐครั้งหนึ่งของอเมริกา
เปลี่ยนมือจากคนที่กลุ่มอำนาจมั่นใจแล้วว่าเริ่มจะ “คุม” ไม่ได้ มาเป็นนักการเมืองพรรคพวกเดียวกันซะ
หนังทำได้ดีทุกๆด้านครับ ยาวสามชั่วโมงสิบห้านาที แต่ไม่น่าเบื่อแม้แต่นิดเดียว บทภาพยนตร์แน่นปึก การตัดต่อกระชับ แสดงให้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ละน้อยจนไปสู่บทสรุปที่ทุกๆคนต้องยอมรับว่า “เป็นไปได้”
ภาคการแสดงก็ทำได้ดีทุกคน เควิน คอสเนอร์ แสดงเป็นอัยการ จิม แกริสัน ได้อย่างถึงบทมาดการแสดงแบบคนที่ฉลาด มีทัศนวิสัยดี และมีความมุ่งมั่นกัดไม่ปล่อย การโซโลปิดคดีกว่า 45 นาทีท้ายเรื่องเป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของเขา และยังมีดาราดีๆอีกมากมาร่วมแสดง เช่น เควิน เบค่อน / โจ เปสซี่ / ทอมมี่ ลี โจนส์ / แกรี่ โอล์แมน
หนังประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งรายได้และคำชม ว่ากันว่าถึงกับส่งผลให้คนอเมริกันแห่กันไปเลือกเอา บิล คลินตัน มาเป็น ปธน. แทน (หนังออกปี 1991 เลือกตั้งปี 1992) จอร์จ บุช คนพ่อ ที่ในหนังโยงถึงเบื้องหลังการสังหาร
ล่าสุดหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน รายงานว่าภาพยนตร์เรื่อง JFK ได้รับการโหวตจากคอหนังชาวผู้ดี โดยยกให้เป็นภาพยนตร์แนวทฤษฏีสมคบคิดยอดเยี่ยมตลอดกาล (อันดับรองได้แก่ The Manchurian Candidate / The Matrix / All The President’s Men)
5. ผมเองเห็นพวกเสื้อแดงที่เชื่อทักษิณบ้าง สามเกลอบ้าง หมอแหวงบ้าง แล้วชูป้ายจะล้มอำมาตย์ จะล้มโน่นล้มนี้ แล้วยกตัวอย่างประเทศอย่างอเมริกาว่าสุดยอดประชาธิปไตย ไม่มีชนชั้น มันน่าเอ็นดูจริงๆ
ในทางแนวทฤษฏีสมคบคิด ผมคิดว่าทุกๆประเทศต่างก็มีโปรแกรมของประเทศเอาไว้แล้ว มันอาจเริ่มมาหลายสิบหลายร้อยปีก็แล้วแต่ แต่ไม่มีประเทศที่มั่นคงที่ไหนในโลกหรอกครับ ที่จะไม่มีระบอบบางอย่างนอกจากการเลือกตั้งมาครอบประเทศเอาไว้ แม้แต่ประเทศที่บางคนเอามาอ้างกันเสมอว่าสุดยอดประชาธิปไตยอย่างอเมริกา
ที่บารัค โอบาม่าบอกว่าเขา cannot press the button ก็ดี สิ่งที่เกิดกับ เคนเนดี้ ก็ดี ต่างก็เป็นหลักฐานได้ระดับหนึ่ง
โอลิเวอร์ สโตน ย้ำไว้ราวๆห้าครั้งว่าคราวเคนเนดี้นั้นมันคือการรัฐประหาร
ภาพแสดงข้อสรุปที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงของสามองค์กรในวิถีกระสุนที่ยิงปธน.
ผลสรุปของคดีเคนเนดี้คืออะไร ผลก็คือคณะกรรมาธิการวอร์เร็น (Warren Commission) ได้สรุปคดีแต่ไม่มีการเปิดเผยครับ มีการอ้างข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ไม่ให้เปิดเผยเพราะ “ความมั่นคงของชาติ” จนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2571 จึงจะสามารถนำมาเผยแพร่หรือรื้อฟื้นคดีนี้ได้อีกครั้ง (ผมหวังอย่างยิ่งว่าจะอยู่จนถึงวันนั้น เพราะอยากรู้กับเขาเหมือนกัน)
JFK เป็นหนังการเมืองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง คอหนังและการเมืองควรหามาดูซักครั้ง
การลอบสังหารคุณสนธิ ข่าวการลอบสังหารหรือการจงใจให้เกิดอะไรร้ายๆกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถ้ามองแบบ Conspiracy Theory ก็คิดกันได้หลายแบบ แต่ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นกรณีแบบเคนเนดี้ เพราะดูทั่วๆไปแล้ว ผมคิดว่านายกฯอภิสิทธิ์ คล้ายๆ บิล คลินตัน (หรือบารัค โอบาม่า) มากกว่า
คือทั้งสองต่างฉลาดพอที่จะประสานระบอบบางอย่างที่รักษาประเทศมาได้ตลอดกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ภายใต้การทำงานที่ซื่อสัตย์ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และตอบสนองทุกชนชั้นให้มากที่สุด
สมัยคลินตัน เขาพยายามเน้นเศรษฐกิจนำหน้าทหารก็จริง แต่เขาไม่เคยตัดงบกระทรวงกลาโหมเลย
Conspiracy Theory ในสังคมไทยถ้าเล่ากันไปก็มากมายหลายระดับ แต่ผมคิดว่าตั้งแต่รุ่นก๋งผมเป็นต้นมา คนไทยส่วนใหญ่ก็มีความสุข มีเสรีภาพ ดีในระดับหนึ่ง เราผ่านวิกฤติได้ไม่เหมือนเพื่อนบ้าน ทั้งเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์อย่างเขมร แตกประเทศเป็นเผ่าๆอย่างพม่า สงครามระหว่างคนในชาติอย่างลาวหรือเวียดนาม
ถ้า Conspiracy Theory ของประเทศไทยมีจริง ระบบวิธีดังกล่าวก็ถือว่าปกป้องประเทศมาได้หลายสิบปีไม่ใช่หรือ
อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร GM ไว้อย่างคมคายถึงคำถามต่อคนเสื้อแดงที่อยากขจัด “ชนชั้นทางสังคม” ซึ่งอ.นิธิตอบว่าเป็นไปไม่ได้
“มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ที่ไหนในโลกก็มี แม้แต่ในอเมริกาก็เถอะ คิดเหรอว่าถ้าอยู่ในอเมริกาแล้วคุณจะมีฐานะทางสังคมเทียบเท่าคนในตระกูลเคนเนดี้หรือตระกูลบุช ไม่มีทาง”
เปลี่ยนอะไรก็น่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ไม่ใช่เอาของเลวๆมาแลกกับของที่ใช้ได้ดีมีบุญคุณกับประเทศ
Conspiracy Theory ของพวกเสื้อแดงที่ว่าเป้าหมายขจัดอำมาตย์จะเปลี่ยนอะไรได้ เพราะยังไงผมก็เห็นพวกเขากุมเป้า รับคำสั่ง กระทั่งกราบไหว้ นช.แม้ว หญิงอ้อ ลูกทองทั้งสาม คนในตระกูลชินวัตรบ้าง วงศ์สวัสดิ์ บ้างอยู่ดี คิดหรือว่าเปลี่ยนเข้าจริงๆระบบชนชั้นจะหมดไป
ผมว่าผมก็ต้องจอดรถรออยู่ดี เพราะจราจรจะมากั้น ถ้าขบวนรถของ”ท่าน”ทั้งหลายในตระกูลชินวัตรหรือวงศ์สวัสดิ์จะผ่านทาง (เคยเจอกับตัวมาหลายครั้งแล้วครับ)
และถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็ขอกราบไหว้นับถือชนชั้นและสถาบันอันควรเป็นที่นับถือและมีบุญคุณต่อประเทศจริงๆ ต่อไปจะดีกว่าครับ…….
ขอบคุณข้อมูล : Cozy OK NATION BLOG