นายปกครอง
ในเรื่องของการ “ซื้อสื่อ” ไม่ว่าจะเป็นสื่อรูปแบบใดก็ตาม โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แต่ปัจจุบันนี้แยกย่อยเพิ่มเติมอีก ด้วยการซื้อสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อที่จะใช้โค่นล้มฝ่ายตรงข้าม
มีการซื้อกันได้อย่างแน่นอน เขาไม่ได้ซื้อตัวนักข่าว แต่เขาซื้อทั้งกิจการทั้งหมดเลย
คงต้องย้อนสมัยรัฐบาลก่อนก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวออกมาทำนองนี้ว่า มีการจ่ายเงินซื้อสื่อ กันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งในอดีตมีบทบาทเป็นอย่างมาก
วิธีการซื้อนั้นก็มีกันทั้งจ่ายทางตรง และมีการจ่ายทางอ้อม
การจ่ายทางตรงนั้น คือการซื้อแล้วส่งคนของตนเองเข้ามาบริหาร กำหนดทิศทางให้เป็นไปตามที่ตนเองตั้งเอาไว้
ทิศทางที่ว่านั้น ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เริ่มจากควบคุมข่าวสารไม่ให้มีการโจมตี พวกพ้องเพื่อนฝูงของตัวเองเท่านั้นก่อน
ประการต่อมา คือการใช้สื่อที่เป็นของตนเอง ทำการเชียร์กิจกรรมของตนเองทั้งทางที่ ไม่ควรจะเชียร์กันออกหน้าออกตามากมายขนาดนั้นเลย
ประการสุดท้ายสำคัญ คือการใช้สื่อที่ตนเองซื้อมานั้น โจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ยับเยิน เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นอะไรทำนองนั้น
ส่วนในการซื้อทางอ้อมนั้น ก็จะมีการตอบแทนบุญคุณให้กับสื่อที่เชียร์ตนเองและพวกพ้อง ในรูปแบบของการให้บริษัท ห้างร้าน ที่อยู่ในสังกัดเครือข่ายของรัฐบาลหรือเครือข่ายของผู้ที่ซื้อสื่อ ให้มาทุ่มงบโฆษณาให้กับสื่อนั้นนั้นชนิดที่เรียกว่า ก้อนมหาศาล จนทำให้สื่อเกรงใจไม่กล้าที่จะโจมตี เลยทีเดียว
แต่ถ้าสื่อแขนงใดที่ถูกซื้อไปในทางอ้อมแล้วไม่สนองนโยบายด้วยการเชียร์ ก็เป็นอันว่า จะต้องถูกถอดโฆษณาชิ้นนั้นออกไป ทำให้รายได้ของสื่อแขนงนั้นลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งเรื่องทำนองนี้เคยมีสื่อค่ายทิศตะวันออกโดนถอดมาแล้วสูญเสียรายได้เกือบครึ่ง 100 ล้านบาทเลยทีเดียว แค่ไม่สนองความต้องการเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ผู้มีอำนาจทางการเงินในปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ หลายค่ายยอมสยบออกมาแล้ว ถูกซื้อไปทั้งขบวน
ซึ่งวงการสื่อนั้นสำหรับนักข่าวแล้วก็ต้องยอมรับว่า เรื่องจรรยาบรรณต้องเป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนย่อมปฏิเสธกันหมดว่า ซื้อกันไม่ได้
แต่สำหรับผู้ที่ลงทุนหรือนักลงทุนทุ่มเทเงินเป็นจำนวนมาก ซื้อสื่อลงไปแล้ว ก็ต้องการที่จะถอนทุนคืนด้วยกันทั้งนั้น ทำให้เกิดความคิดที่ต่างกันระหว่าง นักข่าว กับ นายทุน
โดยนายทุนนั้นจะคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะต้องถอนทุนให้เร็วที่สุด และยังต้องคิดต่อได้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้กำไรมากที่สุด
นี่แหละคือสภาพสังคมที่แท้จริงในปัจจุบัน สังคมธุรกิจสื่อ ก็ต้องมีการแข่งขันกันอย่างชนิดที่เรียกว่า อะไรที่จะทำให้ เกิดรายได้และคุ้มทุน ก็จะต้องตักตวงเอาไว้ก่อน
เมื่อจุดอ่อนธุรกิจสื่อเป็นเช่นนี้ ก็เกิดกลายเป็นช่องว่าง เปิดประตูให้กับนักการเมือง หลายคน เข้ามาสอดแทรกในการซื้อสื่อเพื่อเก็บไว้เป็น การทำกิจกรรมการเมืองในอนาคต
หลายค่าย สถานีโทรทัศน์ดังๆ โซเชียลมีเดีย หลายคนถูกซื้อไม่ว่า จะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม บางคนถึงขนาดนำผู้บริหารที่อยู่ในสังกัดของตนเอง เข้ามาควบคุมอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์
เป้าหมายนั้นคงไม่ต้องตีความอะไรกันมาก รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงนี้ไม่พ้นที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้องใช้สื่อของตนเองที่ซื้อมาได้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการโจมตี
ยิ่งรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ทำงานอยู่นานเท่าไหร่ จุดอ่อนก็โผล่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง จะเป็นเรื่องของนาฬิกาหรู เปิดนำมาเป็นประเด็นในการโจมตีได้ทั้งหมด
นี่แหละคือ วงจรอุบาทว์ ที่เกิดมาจากสันดานนักการเมืองในอดีต และในปัจจุบันนี้ก็ย้อนมาใช้มุกเดิม เพื่อล้มฝ่ายตรงข้าม