นาฬิกา คือเครื่องบอกเวลา มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า …
– เรียกตามชนิดของสิ่งที่ใช้บอกเวลา เช่น นาฬิกาแดด นาฬิกาน้ำ นาฬิกาทราย
– เรียกตามลักษณะการนำไปใช้ เช่น นาฬิกาพก นาฬิกาแขวน
– เรียกตามประโยชน์ใช้สอย เช่น นาฬิกาปลุก นาฬิกาจับเวลา
คำว่า นาฬิกา มาจากคำภาษามคธว่า นาฬิเกร (อ่านว่า นา-ลิ-เก-ระ) แปลว่า มะพร้าว
และ คำว่า “นาฬิเกร์”เองก็คือ ชื่อมะพร้าวพันธุ์หนึ่ง ผลเล็ก สีเหลืองหรือส้ม นํ้าหอมหวาน.
ทั้งนี้เพราะเครื่องบอกเวลาแต่เริ่มแรกนั้นใช้กะลามะพร้าวเจาะรูลอยน้ำ
เมื่อกะลานั้นจมครั้งหนึ่ง ก็เรียกว่า นาฬิกาหนึ่ง
จึงนำคำว่า นาฬิกา มาใช้เป็นเครื่องบอกเวลาและช่วงระยะเวลาหนึ่ง…
วิธีการนับเวลาแบบจารีตของสังคมสยามพบที่หลักฐานกล่าวถึงมากที่สุด คือ การใช้ “กะลา” จับเวลา ซึ่งคำว่า “กะลา” พบว่ามีความหมายเดียวกับ “นาฬิกา” ดังปรากฏเรื่อง “นาฬิกา” ในเอกสารวชิรญาณวิเศษ อธิบายว่า “นาฬิกา” เป็นภาษามคธ หมายถึงหมากพร้าว ซึ่งเป็นศัพท์ที่เรียกเพี้ยนมาจาก “นาฬิเกร” อ่านว่า นา-ลิ-เก-ระ อีกที หรือจากในหนังสือสาส์นสมเด็จ เล่ม ๒๐ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลายพระหัตถ์ว่าใช้กะลามะพร้าวในการนับเวลาเช่นกัน ใจความว่า
“เครื่องกำหนดเวลาของไทยเดิมเรียกเป็นภาษาไทยตามวัตถุที่ใช้ว่า “กะลาลอย” มาเปลี่ยนใช้เป็นคำภาษาสันสกฤตว่า “นาฬิกา” ต่อมาภายหลัง แต่ก็หมายความว่า กะลาเหมือนกัน ครั้นว่าได้เครื่องกลอย่างฝรั่งสำหรับกำหนดเวลาเข้ามาก็เอาชื่อเครื่องใช้ที่อยู่ก่อนมาเรียก “นาฬิกา” ยังคิดเห็นต่อไปว่าคำว่าชั่วโมงเดิมเห็นจะเรียกว่า “ล่ม” หรือ “กะลาล่น” แล้วจึงเปลี่ยนไปเรียกว่า นาฬิกา…”
วิธีการนับเวลาจากกะลา ในขั้นแรกต้องเริ่มจากการแบ่งกะลาออกเป็นซีกหนึ่งก่อน โดยกะลาซีกหนึ่งจะแบ่งเป็น ๑๐ ส่วน จากนั้นจึงบากรอยลงไปในกะลา ๙ เส้น เรียกว่า บาด ( ๑ เส้น มีค่าเท่ากับ ๑ บาด) และเจาะรูที่ก้นกะลาเพื่อให้น้ำไหลเข้า เมื่อวางกะลาลงในน้ำน้ำไหลเข้าถึงเส้นไหน นับเป็นเศษของนาฬิกาเท่านั้น จนกระทั่งน้ำไหลเข้าเต็มกะลาและกะลาจมลงจึงนับเป็น ๑ ชั่วโมง
ปัจจุบันคำว่า นาฬิกา นอกจากจะหมายถึงเครื่องบอกเวลาแล้ว
ยังใช้เป็นคำลักษณนามบอกลำดับเวลาตามชั่วโมง
โดยให้เริ่มนับ ๑ นาฬิกา เมื่อเวลาผ่านเที่ยงคืนไป ๑ ชั่วโมง
และนับเรื่อยไปจนถึงเที่ยงคืนเป็นเวลา ๒๔ นาฬิกา
ใช้ตัวย่อว่า น. (อ่านว่า นอ) เขียน น หนู มีจุด
ที่มา:บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
คัดลอกมาจาก: ราชบัณฑิตยสถาน