ฟองสบู่กับความโลภ (ตอนที่ 2)
โดย นีโอ
ความเดิมตอนที่แล้ว (ย้อนไปอ่านตอนที่1) นีโอได้เกริ่นเป็นน้ำจิ้มว่าการเก็งกำไรจนเกิดเป็นฟองสบู่นั้นเป็นปัญหาแคลสสสสิคที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน วันนี้เราย้อนกลับไปดูอดีตเราคงขำว่า เออคนมันคิดกันได้ไงนะบ้าเก็งกำไรดอกทิวลิปถึงขนาดมีบ้านขายมีรถขายรถ หรือคนคิดได้ไงนะเก็งกำไรจตุคามกันไปได้ถึงหลักหลายสิบล้าน แต่ธรรมชาติมนุษย์เป็นอย่างนี้กันจริงๆคือบางทีเราถูกความโลภบังตา เห็นคนอื่นรวยเร็วรวยง่ายเราก็อยากรวยแบบเค้ามั่ง…สนุกได้เก็งกำไรได้…แต่ลุกช้าจ่ายรอบวงนะจ๊ะ!
ตอนที่ 2 นีโอจะพาพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจในยุคใหม่ โดยเริ่มจากสิ่งที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีและหลายๆคนอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนั้น นั่นคือวิกฤติอาหารประจำชาติเรา!!! สิ่งที่ทำให้นีโอเจ็บปวดใจที่สุดคือเห็นกิจการของคนไทยหลายๆแห่งต้องถูกมัดรวมขายแบกะดินให้ต่างชาติมาเทคโอเวอร์ เห็นคนไทยหลายคนล้มละลาย บางคนทำใจไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตายไปเลยก็มี แต่แน่นอนที่สุดเมื่อมีคนเสียก็ย่อมต้องมีคนได้ และหนึ่งในคนที่ได้ต้องสงสัยว่าจะได้ประโยชน์ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต่อมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้อภิปรายในสภากล่าวหานายทักษิณว่ารับข้อมูลวงในจากนายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีสำนักนายกฯในขณะนั้น ว่าจะมีการลดค่าเงินบาทในวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ทำให้นายทักษิณมีโอกาสซื้อประกันความเสี่ยงค่าเงินบาทและซื้อเงินดอลลาร์ตุนเอาไว้ ท่ามกลางความหายนะของเศรษฐกิจชาติ ต่อมานายโภคิน ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายนายสุเทพถึง 2,562 ล้านบาท หลังจากคดียืดเยื้อมานานถึง 11 ปี ศาลฎีกาได้ตัดสินยกฟ้องคดีนี้ไป…
http://oknation.nationtv.tv/blog/Thaihippy/2013/05/20/entry-1
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000038823
วิกฤติต้มยำกุ้ง
ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่มีการขับเคลื่อนด้วยภาคการผลิตเพื่อการส่งออกจากการที่ญี่ปุ่นย้านฐานการผลิตเข้ามาในไทย อีกทั้งเรายังได้อานิสงค์จากการภาคบริการเช่น การท่องเที่ยว การส่งออกแรงงานไปต่างประเทศ ทำให้ตัวเลชการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP อยู่ในระดับสูงมาก และกลุ่มทุนไทยหน้าใหม่สร้างความร่ำรวยจากการดำเนินธุรกิจใหม่เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม การเงิน เพื่อเป็นการแสดงให้ท่านผู้อ่านดูว่าเศรษฐกิจไทยร้อนแรงมากแค่ไหน นีโอขอเอากราฟดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาประกอบ จะเห็นได้ว่าดัชนีทำจุดสูงสุด หรือ All Time High ที่ 1,753.73 จุดในวันที่ 4 มกราคม 2537 ซึ่งเป็นสถิติที่สูงสุดตลอดกาลแม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 19 ปี (แต่นีโอมีความเชื่อว่าเราอาจได้เห็นดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่หรือ New High ได้ในปีหน้า ซึ่งเราจะมาคุยกันในรายละเอียดตอนต่อไป)
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงในช่วงทศวรรษ 2530 ทำให้เกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจในช่วงปลายทศวรรษ และส่งผลให้เกิดวิกฤติทางการเงินในหลายประเทศ เช่น ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ต้องลดค่าเงินและต้องเข้าโครงการกู้เงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อรักษาเสถียรภาพสกุลเงิน และยังส่งผลให้เกิดวิกฤติการเงินในรัสเซียและวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในเวลาต่อมา นีโอกำลังจะบอกว่า เศรษฐกิจโลกสมัยใหม่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นและมีการทำธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนมากจนยากที่จะเข้าใจ ขนาดเมื่อ 19 ปีที่แล้วเศรษฐกิจโลกยังเพิ่งเริ่มมีความเชื่อมโยงกันหรือโลกเริ่มเข้าสู่กระแสโลภาภิวัฒน์ วิกฤติที่เริ่มจากประเทศเล็กๆที่ไม่ได้ร่ำรวยและไม่ได้มีความสำคัญมากอย่างประเทศไทยยังส่งผลกระทบไปหลายประเทศและส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอื่นๆต่อมา เวลาที่นีโอพูดแบบนี้ก็จะมีคนต่อว่าคิดมากไปไหม ทำให้คนกลัวเกินเหตุไปรึเปล่า ธรรมชาติของมนุษย์คือถ้าไม่รู้ก็จะไม่กลัว เมื่อไม่กลัวก็จะใช้ชิวิตหรือลงทุนอย่างประมาท เมื่อประมาทเวลาที่เกิดวิกฤติขึ้นจริงๆก็จะเสียหายหนัก อาจถึงขั้นล้มละลาย ธุรกิจคนไทยหลายแห่งต้องตกเป็นของผู้ถือหุ้นต่างชาติ ประเทศต้องเป็นหนี้และสูญเสียเอกราชทางการเงิน ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฟองสบู่ปี 2540 แตก ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อนีโอ แต่ขอให้ผู้อ่านหาความรู้จากแหล่งอื่นเยอะๆ เมื่อเรารู้เยอะเราจะกลัว และเมื่อเรากลัวเราจะระวังเอง
นีโอขอสรุปคร่าวๆถึงสาเหตุการเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งสั้นๆบางประเด็นที่สำคัญที่เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอื่นๆที่เกิดขึ้นตามมา เพราะถ้าลงรายละเอียดมากบทความนี้จะกลายเป็นมหากาพย์และผู้อ่านจะเบื่อไปซะก่อน (ฮ่าๆๆๆ)
- นโยบายการเงินของพ่อใหญ่จิ๋ว (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกฯในขณะนั้น) ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ในทางเศรษฐศาสตร์การเงินจะมีกฎเรื่อง impossible trinity คือสิ่งที่เกิดพร้อมกันทั้งสามอย่างไม่ได้เด็ดขาด นั่นคือ การตรึงอัตราแลกเปลี่ยน การเปิดเสรีทางการเงิน และนโยบายการเงินอิสระ สรุปง่ายๆคือการเปิดเสรีทางการเงิน (เปิดเสรีบัญชีทุน) กับการตรึงอัตราแลกเปลี่ยน ทำพร้อมกันไม่ได้ เหมือนกับแปรงฟันไปด้วย ผิวปากไปด้วย ทำไมได้ ถ้าทำแล้วจะพัง แต่ไทยก็ยังทำ ทำให้กระแสทุนไหลบ่าเข้ามามากมายทั้งที่ลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง และที่เข้ามาเพื่อให้กู้ และเราต้องทุ่มทุนรักษาอัตราแลกเลี่ยนมหาศาล สุดท้ายถูกโจมตีค่าเงินจากเฮดจ์ฟันด์ (นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย เลยพัง โซรอสจ้องหาประเทศที่ทำผิดกฎ impossible trinity อยู่แล้ว เมื่อเจอก็ลงมือเลย)
มีการกู้เงินหนี้ต่างประเทศระยะสั้นปริมาณมหาศาลเพราะมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่าในประเทศ แถมยังไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อมาปล่อยกู้ให้กับธุรกิจต่างๆในประเทศ (สมัยนั้นตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาห์สหรัฐ) หลังจากที่เราประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2กรกฎาคม 2540 พบว่าในปลายปีนั้นหนี้ต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นในระดับสูงถึง 109,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่มีสัดส่วนถึง 65% ของหนี้ต่างประเทศรวม และสัดส่วนเงินสำรองต่อหนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 70.40% เท่านั้น หนี้ต่างประเทศที่กู้มานั้นมักจะนำมาลงทุนแบบเพื่อเก็งกำไร ไม่ใช่เพื่อพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยผลิต เช่น กู้เงินในระยะสั้นแต่กลับไปลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนระยะยาว มีการนำเงินกู้ต่างประเทศรวมทั้งการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไปลงทุนเกินตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่น คอนโดมิเนียม ตึกสำนักงาน สนามกอล์ฟ จนทำให้เกิดสภาวะฟองสบู่คือมีโครงการมากกว่าความต้องการใช้สอยจริงๆ (Demand มากกว่า Supply นึกถึงดอกทิวลิปและจตุคามตอนพีคสุดๆไว้)
คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อดีตนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งหมดตัวจากวิกฤติต้มยำกุ้งกำลังยืนขายแซนด์วิชที่ข้างถนน
ปัจจุบันคุณศิริวัฒน์กำลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ด้วยข้อผิดพลาดหลักๆของเราสองข้อที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก หนี้ระยะสั้นสูง การตรึงอัตราแลกเปลี่ยน เปิดช่องให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างชาติเก็งกำไรจากการโจมตีค่าเงิน ที่เรารู้จักกันดีก็คือกองทุน Quantum Fund โดยนาย จอร์จ โซรอส รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลในขณะนั้นภายใต้การนำของพ่อใหญ่จิ๋ว (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ไม่สามารถป้องกันค่าเงินบาทได้ต่อไปและต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนมาลึกที่สุดถึง 57 บาท บริษัทที่มีการกู้เงินต่างประเทศมากๆโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้เกิดเป็นการล้มตามๆกันเป็น Domino Effect และส่งผลให้มีการเลิกจ้างเป็นวงกว้าง ส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขยายตัวจากภาคธุรกิจไปสู่ประชาชนธรรมดาๆที่ตกงานขาดรายได้ในการส่งค่างวดบ้าน ค่าผ่อนรถต่างๆ ฯลฯ
จากความพยายามที่จะปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีหลายครั้ง ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตกอยู่ในสถานะล้มละลายทางเทคนิค ไทยเองก็พยายามขอความช่วยเหลือกู้เงินจากมหามิตรสหรัฐอเมริกาเพื่อมาพยุงฐานะของค่าเงินบาท แต่อเมริกาไม่ได้ให้ความช่วยเหลือไทยเลย มีแต่ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ไทย แต่นั่นก็ยังไม่พอ ไทยยังต้องรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งแลกมากับกับการสูญเสียมากมาย เช่นการขายธุรกิจไทยในราคาถูก การแก้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ เป็นต้น
“…. เริ่มจากเฮดจ์ฟันด์ต่างๆที่กอบโกยกำไรมหาศาลจากการโจมตีค่าเงินของไทย ล้วนแต่มีสัญชาติอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ครั้นเมื่อมีการประมูลขายทรัพย์สินขององค์การเพื่การปฎิรูประบบสถาบันการเงิน ( ปรส. ) หรือเมื่อมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นักลงทุนสหรัฐคือผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูงสุดในเวลานั้น แล้วยังสามารถซื้อได้ในราคาเพียง 25-30 % ของราคาเดิมเท่านั้น เนื่องจากเป็นราคาเลหลังและค่าเงินของไทยเวลานั้นก็ลดลงไปกว่า 50 % แล้ว (เรียกได้ว่าลดแล้วลดอีก ถูกแล้วถูกอีก—-คหสต.) นอกจากนี้ ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศ ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่สหรัฐจะได้ต่อรองเงื่อนไขการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการแก้กฎหมายให้คนต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสถาบันการเงิน เช่นธนาคาร หรือบริษัทประกันภัย ทั้งยังขอให้เปิดเสรีในการประกอบอาชีพที่เคยสงวนสิทธิให้แก่คนไทยอีกด้วย…”http://oknation.nationtv.tv/blog/banyong/2007/06/30/entry-1 |
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากวิกฤติต้มยำกุ้ง
- ต้นทุนการเงินที่ถูกทำให้เกิดการกู้ยืมเงินมาเพื่อเก็งกำไร เช่นการหวังส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และการนำเงินไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่จนเกินความต้องการจริงไปมาก (Demand มากกว่า Supply ล้นเหลืออีกแล้วครับท่าน!) ด้วยสภาพคล่องในระบบที่ล้นเหลือจากการปล่อยกู้แบบง่ายๆจึงทำให้เกิดการเก็งกำไรอย่างหนักในตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์จนเป็นฟองสบู่
- การดำเนินนโยบายทางการเงิน Impossible Trinity ที่ทำพร้อมกันไม่ได้ 3 เรื่อง (ดูรายละเอียดข้างต้น) เมื่อมีการโจมตีค่าเงินบาทหลายครั้งๆ รัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ยอมรับความจริงกลับนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปปกป้องค่าเงินบาทจนหมดตัว เปรียบเสมือนมวยวัดที่เปิดหน้าชกกับบัวขาว ในที่สุดก็ต้องแพ้น๊อค…เพราะเงินสำรองเกือบหมดต้องลอยตัวค่าเงินบาทอยู่ดี
- เมื่อ 19 ปีก่อนยังเป็นยุคแรกๆของโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ผลความเสียหายของฟองสบู่แตกในประเทศเล็กๆอย่างไทยยังสามารถส่งผลให้เกิดวิกฤติทางการเงินกับหลายประเทศในเอเชีย และยังส่งผลให้เกิดวิกฤติการเงินในรัสเซียในปี 2541 และวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในปี 2542 ปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนมากกว่า 19 ปีก่อน หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้งย่อมจะส่งผลเสียหายอย่างลึกซึ้งในวงกว้างและน่าจะกินเวลานานกว่าครั้งก่อนๆ
คนไทย 99% เวลาพูดถึงนาย จอร์จ โซรอส แล้วจะของขึ้นควันออกหู แต่นีโอเฉยๆนะ เพราะงานของกองทุนเฮดจ์ฟันด์คือการมองหาโอกาสเข้าโจมตีประเทศที่อ่อนแอกว่าไม่ว่าจะเป็นเพราะนโยบายการเงินที่ผิดพลาดหรือหนี้ระยะสั้นสูงหรือปัญหาทางการเมือง มีผู้ให้คำจัดกัดความปรากฎการณ์ “โจรใส่สูท” ที่ฉกฉวยประโยชน์จากตลาดเงิน ตลาดทุนในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาว่า ทุนนิยมคาสิโน (Casino Capitalism) นีโอมองว่าเป็นหน้าที่ของคนไทย รัฐบาลไทยที่จะต้องรู้เท่าทันกลไกการทำงานของระบบทุนนิยมคาสิโนนี้ และต้องหาทางป้องกันไม่ให้เขามากอบโกยความมั่งคั่งของเราหรือเข้ามาเป็นเจ้าของในกิจการของคนไทยในราคาแบกะดินอีกเหมือนตอนต้มยำกุ้ง ศตวรรษที่ 21 เป็นโลกของทุนจักรวรรดินิยมที่ไร้พรมแดน ผู้ที่จะอยู่รอดได้คือผู้ที่ตื่นรู้ ปรับตัว และเตรียมพร้อมเสมอเท่านั้น!
ในตอนต่อไป นีโอจะพูดถึงวิกฤติดอทคอมและวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และจะให้มุมมองว่าปัจจุบันเรากำลังตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงของฟองสบู่หรือไม่ และคนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร
http://www.mbamagazine.net/index.php/must-read-3/160-m-m-s-v15-160
https://th.wikipedia.org/wiki/วิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย_พ.ศ._2540
https://sufficienteconomytupl.wordpress.com/พระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเ-2/