แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหมระบุว่า สหรัฐฯ วางแผนจะจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงทางทหารในประเทศไทย เพื่อซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไทยซื้อจากอเมริกา
วานนี้ (3 ม.ค.) เว็บไซต์ The Straits Times ในสิงคโปร์ อ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ระบุว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยและสหรัฐฯ กรณีสหรัฐแสดงความสนใจจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงทางทหารในประเทศไทย เพื่อซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไทยซื้อจากอเมริกา ทั้งนี้แหล่งข่าวได้ระบุว่า ล่าสุดมีการกล่าวถึงในการเจรจายุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศระหว่างสองประเทศ
พร้อมกันนี้ The Straits Times ซึ่งอ้างข้อมูลจากบางกอกโพสต์ ระบุว่า สหรัฐเสนอแผนกับฝั่งไทย ระหว่างการหารือ บนเวที The Defence Strategic Talkซึ่งเป็นการหารือเชิงยุทธศาสตร์ เกี่ยวกับกลไกความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของประเทศทั้งสอง โดยจัดขึ้นที่เพนตากอน กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กรุงวอชิงตัน เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำฝั่งไทย ขณะที่ฝั่งสหรัฐนำโดย เดวิด เฮลวี ที่ปรึกษาด้านกิจการความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก
เนื้อความสามย่อหน้า ระบุใจความของคำแถลงครั้งนี้ สรุปได้ว่ารักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรี เฮลวี กับพล.อ.เทพพงศ์ ต่างยืนยันสัมพันธภาพในฐานะพันธมิตร ซึ่งยาวนานกว่า 184 ปี และจะจัดให้มีเวทีหารือเชิงยุทธศาสตร์ในประเทศไทยในปีหน้า ทว่า ภายหลังการหารือสหรัฐยังไม่ได้กำหนดว่าที่ตั้งฐานดังกล่าวจะตั้งอยู่ที่ใด
มีการคาดการณ์ว่า สหรัฐวิตกกังวลที่ไทยหันไปใกล้ชิดจีนยิ่งขึ้นภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทั่งสหรัฐเสนอแนวคิดนี้หลังจากจีน รัสเซีย และยูเครน แสดงความต้องการที่จะเข้ามาตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงทางทหาร เพราะการมีศูนย์ในลักษณะดังกล่าวในไทยถือเป็นข้อได้เปรียบของประเทศที่เจรจาขายอาวุธให้สหรัฐฯ
ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2560 ที่ผ่านมา กองทัพบกไทยมีรถถังหนักผลิตในสหรัฐฯ 300 คัน รถถังเบาสติงเรย์ 100 คัน รถถังสกอร์เปียน 100 คัน โดยเมื่อสี่ปีที่แล้วทางการไทยได้สั่งซื้อรถถังยูเครน 20 คัน
อย่างไรก็ตาม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมของไทย แถลงว่า กระทรวงกลาโหมของจีนกับไทยได้บรรลุข้อตกลงที่จะร่วมมือกันจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จังหวัดของแก่น และจัดตั้งคลังอะไหล่ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเดือนกันยายน 2560 ทั้งนี้ทั้งนั้นสองโครงการมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2562
ที่มา www.straitstimes.com