หรือว่าอาหรับสปริงมันย้อนกลับมาสนองให้อเมริกา คนที่สร้างโมเดลนี้จนหลายชาติในตะวันออกกลางสะเทือนจนเปลี่ยนรัฐบาลไปหลายประเทศแล้ว รวมถึงแอบให้ความสนับสนุนสงครามสีเสื้อ หรือให้ความสนับสนุนกลุ่มแอคทิวิสต์ในประเทศต่างๆ สร้างความแตกแยกของสังคมเพื่อแผ่อำนาจของอเมริกา เวลานี้รูปแบบที่ไม่ต่างกันกำลังเกิดขึ้นในอเมริกาบ้านของตัวเอง
เมื่อเช้าที่ผ่านมาเสาโอเบลิสก์ที่เป็นอนุสาวรีย์โคลัมบัสอายุ 225 ปี ที่บัลติมอร์ ถูกมือมืดถูกทุบทำลายลง อนุสาวรีย์นี้ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติแก่โคลัมบัสที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา การทุบทำลายนั้นถูกถ่ายคลิปเอาไว้และอัพขึ้นยูทูปยาว 2 นาที เรื่องนี้จะบอกว่าเป็นตอนต่อมาของการรื้อถอนอนุสาวรีย์ของผู้นำสหพันธรัฐในสงครามกลางเมือง และผู้สนับสนุนการค้าทาสในยุคสงครามกลางเมืองลงตามมติสภาเมืองชาร์ล็อตส์วิลล์ก็ว่าได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเมืองต่างๆ มีการรื้อถอนเอาอนุสาวรีย์ลงถึงสี่แห่งรวมถึงของนายพล โรเบิร์ท อี. ลี และประธานศาลสูงสุด โรเบิร์ท บี. ไทนีย์ ที่สนับสนุนการค้าทาส รวมถึงให้เปลี่ยนชื่อสวนสาธารณะ โรเบิร์ต อี. ลี และ สวนสาธารณะสโตนวอลล์ แจ็คสัน ที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษผู้มีแนวคิดสนับสนุนการค้าทาสเมื่อสมัยสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา เป็นชื่อสวนสาธารณะแห่งการปลดปล่อย (Emancipation Park) และสวนสาธารณะแห่งความยุติธรรม (Justice Park) แทน นั่นคือจุดที่ทำให้พวกคลั่งผิวขาว “อัลต์-ไรท์” (Alt-Right) และ กลุ่มคู คลักซ์ แคลน (KKK) ออกมากันเต็มเมือง ภาพของเมืองที่มีความสุขที่สุดในสหรัฐ’ (America’s Happiest City) ที่มีการโหวตเมื่อปี 2014 กลายเป็นเมื่อที่นองเลือดไปหลังจากที่ผู้สนับสนุนทั้งสองฝั่งออกมาทำร้ายร่างกายกันและกัน
เรื่องนี้ไปไกลถึงขนาดจะให้เปลี่ยนชื่อวันหยุดจากวันโคลัมบัลมาเป็นวัน ชนพื้นเมืองและอิตาเลี่ยน-อเมริกัน แทนชื่อเดิม เนื่องจากฝ่ายสนับสนุนให้เหตุผลว่าโคลัมบัสเป็นต้านเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองและสร้างอาณานิคมในอเมริกา แต่ไม่ผ่านสภาในขั้นตอนสุดท้าย เรื่องนี้นายกเทศมนตรีได้ออกมาพูดว่า โคลัมบัสนั้นเอายุโรปและอเมริกาเข้ามารวมกันซึ่งเป็นความสำเร็จหลัก แต่เขาก็ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายกับชนพื้นเมืองอเมริกัน “Columbus did bring together Europe and America. That was a major accomplishment, But he did some horrible things to Native Americans.”
เรื่องนี้ ปธน.ทรัมป์พูดออกมาเหมือนแทงกั๊กให้พวกขวาจัดอยู่ด้วย ตามข่าวของ BBC ได้มีข้อความตอนหนึ่งว่า ทรัมป์กล่าวประณามฝ่ายซ้ายสุดโต่งว่าเป็นผู้เริ่มก่อเหตุ โดยเข้ามาทำร้ายสมาชิกขบวนการขวาจัดและกลุ่มคนขาวเป็นใหญ่ก่อน “เมื่อคุณพูดถึงกลุ่มอัลท์-ไรท์ (ขวาจัด) แล้วพวกอัลท์-เลฟท์ (ซ้ายจัด) ที่เข้ามาทำร้ายฝ่ายขวาล่ะ ? ไม่ได้ผิดเหมือนกันหรอกหรือ จะว่ายังไงกับข้อเท็จจริงที่พวกนี้ตรงเข้ามาปะทะก่อนโดยถือท่อนไม้ไว้ในมือด้วย…แบบนี้ล่ะ ?” นายทรัมป์กล่าว การที่เขาไม่ได้กล่าวประณามโดยเจาะจงออกชื่อกลุ่มใดแต่แรก เพราะต้องการค้นหาความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนทุกด้านเสียก่อน นายทรัมป์ยังระบุว่าในบรรดาผู้เข้าร่วมชุมนุมกับฝ่ายขวาจัดนั้นยังมี “คนดีและสุภาพชน” จำนวนมาก ซึ่งต้องการประท้วงอย่างสันติรวมอยู่ด้วยโดยไม่ได้ต้องการก่อความรุนแรง แต่ชุมนุมเพื่อคัดค้านการรื้อถอนอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญฝ่ายสมาพันธรัฐในยุคสงครามกลางเมืองเท่านั้น “ถ้าจะทำลายอนุสาวรีย์ที่มีประวัติเกี่ยวกับการค้าทาสให้หมด อย่างนั้นจะต้องรื้ออนุสาวรีย์อดีตประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน และโทมัส เจฟเฟอร์สันด้วยไหม ? พวกเขาก็เป็นนายทาสเหมือนกัน”
หลังจากที่ทรัมปืพูดเอาใจพวกกลุ่มอัลท์-ไรท์ นายเดวิด ดุค อดีตผู้นำกลุ่มคู คลักซ์ แคลน หรือเคเคเค ได้ลงข้อความทางทวิตเตอร์ขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา กล้าพูดความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประณาม “ผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้าย อย่างขบวนการชีวิตคนดำมีค่า (BLM ) และพวกแอนติฟา”
เท่านั้นแหละครับ วุฒิสภาทั้งสองพรรคก็จับมือกันออกมาถล่มทรัมป์ทันทีว่าจงใจเลือกข้างและสร้างความแตกแยกให้ขยายวงออกไปมากยิ่งขึ้น และเกิดความรุนแรงที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาอีกหลายเมืองเช่น บัลติมอร์, เล็กซิงตัน, เมมฟิส, และแจ็คสันวิลล์ด้วย โดยในเวลานี้มีการทำลายอนุสาวรีย์ของฝั่งตรงข้าม แม้กระทั่งอนุสรณ์สถานลินคอล์นในกรุงวอชิงตันก็ยังไม่รอด โดนมือมืดพวกขวาจัดเอาสีไปพ่นเพื่อต่อต้านการเลิกทาสโดยอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น
*********************************************
ผมไม่ได้สะใจที่อเมริกาต้องเจอความรุนแรงของการแยกเผ่าพันธุ์หรอกนะครับ เพราะทุกข์ชองมนุษย์ทุกหมู่เหล่าที่ถึงเลือดถึงชีวิตแบบโง่ๆ นั้น ใครก็แล้วแต่จะสะใจไม่ได้ แต่การที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังของความรุนแรงในชาติต่างเช่น อาหรับสปริง สงครามสีเสื้อ ให้ความสนับสนุนประเทศต่างๆ สร้างความแตกแยกของสังคมเพื่อแผ่อำนาจของอเมริกาเอง มันย้อนกลับมาสนองให้อเมริกาแล้วแบบไม่ต่างกัน
เครดิตภาพ Baltimore Brew
ขอบคุณข้อมูลจาก Pat Hemasuk