วันเสาร์ 23 พฤศจิกายน 2024
  • :
  • :
Latest Update

‘เก่าๆ-ใหม่ๆ’ ไทยในอนาคต

บ้านเมืองเข้าสู่ช่วง “ย้อนยุค”

“เก่า”

กำลังคืนสู่…………

“ใหม่”

ด้วยบรรยากาศ “อุ่นไอรัก” บริเวณพระบรมรูปทรงม้ายามนี้ เหมือนยุค “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” แต่ครั้ง “สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง”

คืนกลับ ณ “กรุงรัตนโกสินทร์” อีกครั้ง!

ไปไหน-มาไหน……….

เห็นผู้คน “แต่งชุดไทย” เดินไป-มาตามท้องถนน โดยเฉพาะสุภาพสตรี ซึ่งมีแทบทุกวัย ทำให้แอบนึกในใจ

ถ้าชุดไทยกลับมาเป็น “ชุดประจำชาติ” หญิงไทยถวิล เหมือนหญิงญี่ปุ่น-เกาหลี สวม “ชุดประจำชาติ” ไปไหน-มาไหน

สังคมบ้านเมืองไทย……..

จะลึกซึ้ง ละเมียด-ละไม ชวนถนอมขนาดไหนหนอ?

คิดๆ ดูก็แปลก เหมือน “อาถรรพณ์สยาม” มีจริง

จู่ๆ อดีตก็พรั่งพรูสู่สังคมปัจจุบัน คิดกันไม่ทันและไม่ทันคิด เห็นชัดๆ

อย่างละคร “บุพเพสันนิวาส” ทางช่อง ๓

ไม่มีปี่-ไม่มีขลุ่ย ก็ดังเปรี้ยง ช่อง ๓ ที่กำลังเดี้ยง กระดี๊-กระด๊า ฟื้นทันตาเห็น

เพราะละครเรื่องนี้เป็น “ละครย้อนยุค” ณ ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้า

ไม่ดังแค่ดู………..

แต่ดังถึงระดับจิตวิญญาณลูกหลานไทย พากันคลั่งไคล้ใหลหลงไปทั้งบ้าน-ทั้งเมือง

เรียกว่า “อิน” กันทั้งตัว-ทั้งหัวใจ กับเรื่องราวของละคร ไปทางไหนก็ได้ยินแต่

ออเจ้า…ออเจ้า

ถึงขนาด “นายกฯ ประยุทธ์” ยังออกปากชวนชม!

จากอุ่นไอรัก ที่ลานพระบรมรูป มาผสมผสานกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศ “บุพเพสันนิวาส” ได้เหมาะเจาะอย่างไรก็ไม่รู้

ทั้งเรื่อง ทั้งการแต่งตัว “ไทยย้อนยุค” ของตัวละคร

เป็นพลังบวก ๒…….

ปลุก “รากเหง้าไทย” ในจิตวิญญาณผู้คน ให้คุคลั่งขึ้นมา ไม่คิด-ไม่ฝัน

เมื่อวาน ( มี.ค.๖๑) ผมดูเฟซ การจราจรมุ่งสู่อยุธยาติดขัด เพราะ “ทุกรุ่น-ทุกวัย”

ย้อนคืนรากตัวเอง เมื่อ ๖๖๖ ปีที่แล้ว ด้วยการพากัน “แต่งชุดไทย” ไปที่วัดไชยวัฒนาราม อยุธยา!

แม้กระทั่ง “ทุ่งใหญ่นเรศวร” รวมถึง “เสือดำ”………..

ณ แห่งนี้ รวมถึงสิงสาราสัตว์ “คู่ชาติ-คู่สยาม” นับแต่อดีตกาลมานานโพ้น

คนรุ่นนี้แทบไม่รู้จัก แต่จู่ๆ อดีตในรอยต่อประวัติศาสตร์ไทย ก็มีเหตุให้ ชื่อ “ทุ่งใหญ่นเรศวร” และ “เสือดำ”

ดังเปรี้ยง อดีต “เด่น” ในปัจจุบัน นับวันยิ่งเด่น

รวมถึงวัฒนธรรม “การไหว้” เอกลักษณ์ไทย ที่กำลังถูกคนรุ่นใหม่ นำ เฮ้..ไฮ้..เขย่ามือ..กระแทกกำปั้น จากตะวันตกมาใช้แทน

ชั่ววินาทีเดียว……….

ระหว่าง พล.ต.อ.ศรีวราห์กับนายเปรมชัยใช้ “ภาษากาย” คือการไหว้และการรับไหว้ ตามวัฒนธรรมไทย ในการทักทาย ตอนพบปะกัน

ดังเปรี้ยง เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติทันที!

นี่คือ “อดีต” ที่ “ย้อนกลับ”………..

ในอดีต เจอใครยกมือไหว้ที่ไหน รู้เลย…นี่คนไทย เพราะการไหว้คือไทย ไทยคือการไหว้ เป็นที่เข้าใจกันทั่วโลก

แต่ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ไทย ไม่นิยมการไหว้มากนัก หันไปนิยม “จับมือ-เขย่ามือ” แบบตะวันตก

เขาว่า มันเท่!

ในขณะที่คนตะวันตก หรือทั้งโลก กำลังหันมานิยมการไหว้ เห็นตามเวทีทั่วไป………..

ดารา นักกีฬา จะประนมมือไหว้แฟนๆ รอบสนาม แทนยกมือโบกอย่างแต่ก่อน!

นั่นคือ อดีตไทยที่กำลังย้อนกลับ แต่น่าเสียดาย การไหว้ เป็นรากไทย แต่คนไทยวันนี้

“ไหว้ได้”………..

แต่ “ไหว้ไม่เป็น” และทั้งไม่รู้จัก-ไม่เข้าใจ ในเจตนาการไหว้

เรื่องเสือดำกำลังฮิต บังเอิญ พล.ต.อ.ศรีวราห์กับนายเปรมชัย เป็นตัวละคร ที่ “คนดูเขม่น”

พอเจอหน้า ก็ยกมือไหว้กัน

ด้วยความไวกล้อง, ความไวสื่อยุคไอที ที่ “จิตสำนึก” ไวตามหลัง

จึงทำให้การไหว้สะท้อนมรรยาทงามของไทย ถูกตีความเพี้ยนเป็น การเลีย..การประจบประแจง

ยิ่งถ้าอีกฝ่าย ค้อมตัว ก้มตัวต่ำกว่าอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ยิ่งถูกตีความไปถึงขั้นว่า

พินอบพิเทา..สยบยอม เกรงกลัว ในอำนาจเงิน, อำนาจบารมีของอีกฝ่าย ถึงขนาดนั้น

นี่ถ้าคนญี่ปุ่นคิดอย่างคนไทย ยุ่งแน่

เพราะคนญี่ปุ่น จะโค้งให้กัน จนตัวงอเหมือนเบ็ด!

ก็เอาล่ะ ถือเป็น “เหตุดี” ก็แล้วกัน

เมื่อสังคมกลับมาให้ความสำคัญกับการไหว้ ก็อาศัยเหตุนี้ ให้เกิดผลดี ด้วยการทำความ “รู้จัก-เข้าใจ” การไหว้ที่ถูกวิธีกัน

ที่เราไหว้ๆ กันทุกวันนี้ สักแต่ว่า “ไหว้”……….

เก้งก้าง แขนกางเป็นนักมวยบ้าง เหมือนไหว้เจ้า เหมือนเปรตขอส่วนบุญ ไหว้ทิ่มๆ ไป พอให้เห็นเป็นกิริยาว่าไหว้

ลองไหว้ แล้วผลัดกันถ่ายรูปออกมาดู แต่ละคนจะอายท่าไหว้ตัวเอง เพราะไม่สวยเลย

ฉะนั้น เป็นคนไทยทั้งที………….

วัฒนธรรมการไหว้ของไทยได้รับการชื่นชม สวยงาม มีเอกลักษณ์ สะท้อนจิตวิญญาณสัตว์มนุษย์

…………ที่ทุกอย่าง “เริ่มต้นที่ใจ”

ชาวโลกจึงเริ่มนำการ “ประนมมือหว่างอก” ที่เรียกว่าไหว้ ไปใช้แทนการจับมือเขย่าหว่างเป้าของเขา

ไม่ยากเกิน “มนุษย์ไทย” ผู้ประเสริฐ จะทำความเข้าใจ ก็ลองดูนะ

การไหว้ เป็นภาษากาย แสดงถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ในความเป็นมนุษย์ผู้เสมอเหมือนกัน

เราพบหน้ากัน ทักทายกัน ได้รับการแนะนำตัวกัน หรือรับพรจากผู้ใหญ่

พูดจากับพระ ฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือคนที่อาวุโสกว่ารับไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่า

ก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกัน………..

แนบหว่างอก ปลายนิ้วเฉียงขึ้น ศอกอย่ากาง เพราะไม่ใช่นักมวยไหว้ครูบนเวที

หุบศอก คือเอาแขนแนบลำตัวสบายๆ อย่าบีบเกร็ง

เอ้า…ลองดู ลองให้คล่อง……….

ระวัง ปลายนิ้วทั้ง ๑๐ ที่ประนม อย่าปล่อยทิ่ม อย่าเอานิ้วขัดประสานกัน คล้ายหมดแรง รอ “มัดตราสัง”

นี่คือขั้นตอน “ประนมมือ”

ทีนี้ ถึงตอนไหว้ ต้องเข้าใจนะ การประนมมือกับการไหว้คนละขั้นตอนกัน

“ยกมือทั้งสองที่ประนมขึ้นจรดใบหน้า”………

ก็ต้องรู้ว่า เราไหว้ใคร ไหว้พระ ไหว้ ปู่-ย่า-ตา-ยาย-พ่อ-แม่ ไหว้ผู้ใหญ่ ไหว้คนวัยเดียวกัน เสมอกัน

-การไหว้พระ ไหว้บุคคลที่เราเคารพสูงสุด ต้องไหว้แบบเบญจางคประดิษฐ์

เบญจางคะ คือ “องค์ ๕” หมายถึงการกราบต้องให้อวัยวะ ๕ ส่วนจรดลงติดพื้น

คือ เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง และหน้าผาก จรดติดพื้น โดยนั่งคุกเข่า สำหรับผู้ชาย

ส่วนผู้หญิง ไม่ต้องก็ได้

แต่ในบางสถานที่ ไม่อำนวยต่อการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์

ก็ประนมมือ แล้วยกขึ้น พร้อมค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ปลายนิ้วทั้งสิบ “แนบส่วนบน” ของหน้าผาก

-การไหว้ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้เคารพนับถือ

ประนมมือแล้วยกขึ้น ค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือ “จรดปลายจมูก” ปลายนิ้ว “แนบระหว่างคิ้ว”

-การไหว้บุคคลทั่วไป ประนมมือแล้วยกขึ้น ค้อมศีรษะลง ให้ “หัวแม่มือจรดปลายคาง” และปลายนิ้ว “แนบปลายจมูก”

จำไว้สั้นๆ ก็ได้………..

ทุกประเภท เริ่มจากประนมมือหว่างอกเหมือนกัน จากนั้นก็แยกการไหว้ ตามประเภทบุคคลที่ไหว้

ยึดนิ้วโป้งที่จะจรดเป็นหลัก

คิ้ว-พระ

จมูก-พ่อ

คาง-เพื่อน

เท่านี้ก็สู่สมัย “ไทยย้อนยุค” แล้ว และสติเตือนใจกันไว้ให้ดี ไทยกำลังสู่วาระ “ประเทศลอกคราบ” เพื่ออนาคตใหม่

อนาคตใหม่ของประเทศไทย จะมาจาก “คนรุ่นใหม่-รุ่นเก่า”

ที่….ไม่ทิ้ง “เก่า” ใน “ใหม่”!