“เขาสอนให้เราเกลียดกัน” ปราชญ์ สามสี
ตีสาม สามสิบสองนาที , เช้าวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
“The essence of war is a conflict in the understanding. But the source of the misunderstanding as a result of the war came from books and pens of those who can benefit from it. “
“เพราะเนื้อแท้ของสงครามคือความขัดแย้งในความเข้าใจ แต่ต้นตอของความเข้าใจผิดอันเป็นเหตุของสงคราม มาจากหนังสือและปากกาของผู้ที่ได้ประโยชน์จากมัน”
-ปราชญ์ สามสี –
เรื่องที่ กำลังจะเขียนต่อไปนี้ ถือเสียว่า เป็น”คำขอร้อง” จาก ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่รักราชอาณาจักรไทย แห่งนี้ และ เป็นเรื่องที่อยาก จะบอกถึงคนไทยทุกท่าน
เริ่มต้นจาก ข้าพเจ้า ต้องการให้ทุกๆท่านตระหนัก ถึงอดีต พี่พึ่งผ่านมา ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ และ ที่จริงๆ แล้ว
… ที่หากได้ติดตามบทความของข้าพเจ้ามานาน จะเห็นได้ว่าข้าพเจ้าพูดถึง เรื่องความขัดแย้งที่กลุ่ม”ขบวนการล้มเจ้า”กระทำขึ้นมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา(ก่อน๒๕๕๐-๒๕๖๐) … หลายๆท่านอาจจะพึ่งรู้จัก คำว่าขบวนการล้มเจ้า ในช่วงปี ๒๕๕๓ แต่รู้หรือไม่ครับว่าในความเป็นจริงแล้ว ต้นตอของ”ขบวนการล้มเจ้า”นั้น อาจฝังรากยาวไปถึง สมัย รัชกาลที่ ๕ เลยทีเดียว
แม้ว่าวันนี้ ปี พ.ศ.๒๕๖๐ แล้ว (ห่างจาก ปี พ.ศ.๒๕๕๓) มาพอสมควรแล้วและสถานการณ์ก็ได้พลิกผลัน ต่างจาก”อดีต”ไปพอสมควร แต่แท้จริง มันไม่ได้ ต่างจาก จุดเริ่มต้น ของขบวนการล้มเจ้า เท่าใดนัก และ เราก็ยังอยู่ใน”ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง” มาหลายสิบปีแล้ว แม้ว่า พวกขบวนการล้มเจ้าในปัจจุบัน จะ หลบหนี ไปยังต่างประเทศ เพื่อตั้งรกรากปักฐานและเคลื่อนไหว แต่พวกเขา”ไม่เคยตายจากไปไหน …” **นั้นอาจจะเป็นเพราะคุณธรรม ความเมตตาอันเป็นรากฐานของสังคมไทย จึงทำให้ การแก้ปัญหาไม่เคยได้”จบชีวิตผู้ก่อการ”เลยในอดีต แต่เป็นการให้โอกาสให้พวกเขาได้สำนึกในบาปและปรับตัวเป็นคนดี …แต่ก็ทำให้รากฐานของขบวนการล้มเจ้ามีรากที่แน่นหนาขึ้น…
แต่จากในปัจจุบัน(ก่อน๒๕๕๐-๒๕๖๐) จะเห็นได้กลุ่มคนกลุ่มเดิม ยังคงปักหลักหมิ่นเจ้า… ไม่สิ นี่ไม่ใช่การหมิ่นเจ้า…แต่มันคือการ “ใส่ร้ายสถาบันฯ”ครับ
แต่พวกเขาทำกันอย่างไร … ข้าพเจ้าก็อยากให้ พวกท่าน กรุณากลับไปอ่านบทความของข้าพเจ้าที่ชื่อว่า
“บิดเบือนอดีต บั่นทอนปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงอนาคต” ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/photos/a.1403156996659987.1073741826.1403156603326693/1479061545736198/?type=3&theater
ในบทความดังกล่าว ข้าพเจ้า ได้พูดถึง”จุดกำเนิด”ลัทธิชังชาติ” ซึ่งถ้านับได้ก็คงจะเป็น ช่วงสมัย ร.๕ ซึ่งเป็นช่วงจุดกำเนิดของ บทความใส่ร้ายสถาบันฯ โดยฝีมือของ “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร กุหลาบ”
โดยเฉพาะ “ก.ศ.ร กุหลาบ” แต่ก่อนนั้นอาจจะไม่ได้มีรูปเค้าโครง เป็น”ขบวนการ”ที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า “ก.ศ.ร กุหลาบ” อาจเป็น “ใส้ศึกจากแท่นพิมพ์หินฝรั่งเศส” โดยบังเอิญ เพราะ งานเขียนซึ่งบิดเบือน พงเสาวดารอย่างหนักหน่วง ซึง่ในบทความเหล่านั้นล้วนมาจากการ บิดเบือนหนังสือต้องห้ามแทบจะทั้งนั้น แต่ทั้งหมดล้วนถูกมองว่าทำไปเพื่อต้องการรายได้ … แต่ความหมกมุ่นในประวัติศาสตร์ไทยและประวัติของ“ก.ศ.ร กุหลาบ”หลายส่วน ทำให้เชื่อได้ว่า เขาน่าจะสมคบคิดฝรั่ง
งานเขียนของ“ก.ศ.ร กุหลาบ” มีความน่าสนใจ เพราะ มิใช่การ แสดงความเกลียดราชสำนักโดยตรง แต่เป็นการใส่สีตีใข่ให้เกิดความไม่เลื่อมใสในราชสำนัก ที่จริงเป็นการพยายามเขียน “เรื่องซุบซิบนินทาคาวฉาว”เพื่อสร้างชื่อเสียงในด้านความลึกแบบวงใน และมีบางส่วนลึกไปถึงการทำลายประวัติศาสตร์พงเสาวดารยุคก่อนรัชกาลที่๕ อีกด้วย
งานเขียนของ“ก.ศ.ร กุหลาบ” ถูกตีพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ที่ทันสมัยในยุคนั้นซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่า เป็นผลพวงจากการที่ นายกุหลาบคลุกคลีกับฝรั่งนานหลายทศวรรษ และนาย “ก.ศ.ร กุหลาบ” นั้น ยังเคยทำงานให้ ต่างชาติ นานถึง ๒๕ ปี “ก.ศ.ร กุหลาบ” จึงเข้าสังคมกับพวกฝรั่งได้ดีและสามารถพูดภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว …
จนข้าพเจ้าตั้งคำถามว่า เขาอาจเป็น “ใส้ศึกคนแรก”ของฝรั่งเศสในเวลานั้น
หากจะลองหาข้อมูลอ้างอิง เรื่อง “ก.ศ.ร.กุหลาบ” ลองอ่านบทความ
“อีกด้านหนึ่งของ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” ในมุมมองของราชสำนัก” โดย ไกรฤกษ์ นานา
http://chaoprayanews.com/blog/article/2014/07/11/อีกด้านหนึ่งของ-ก-ศ-ร-กุห/
แม้ว่าสุดท้าย บั้นปลายชีวิตของ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” จะต้องจบไปตามกาลเวลา แต่ผลงาน “ก.ศ.ร.กุหลาบ” กลับถูกเผยแพร่ในทางลับและกลายเป็น “ความเชื่อที่บิดเบี้ยว และเป็นความเกลียดชัง” และเชื่อว่าอาจส่งผลให้เกิดมี สมาคมลับที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่าง”สมาคมลับ กศร. กุหลาบ “ซึ่งมีสมาชิกเพียง ๔๐ คน
และทำให้เกิดแผนการก่อกบฏครั้งแรกของ กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ในเวลาต่อมา
*** “สมาคมลับ กศร. กุหลาบ “ในทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องใหม่มาก และไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าใครคือสมาชิกเหล่านั้น มีเพียงแต่การอ้างถึงจากงานเสวนาวิชาการบางแห่งเท่านั้น ซึ่งหาก “สมาคมลับ กศร. กุหลาบ ” นั้นไม่มีอยู่จริง การส่งทอดความคิดของก.ศ.ร.กุหลาบไปสู่กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ อาจเป็นในลักษณะ ผู้เสพมากกว่าสมคบคิด แต่หาก “สมาคมลับ กศร. กุหลาบ ” มีอยู่จริง ก็น่าจะถือได้ว่า เป็นการสมคบคิดกันในระดับขุนนางที่ฝักใฝ่ก่อกบฎและนิยมกศร.กุหลาบ***
กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๕๕ หวังโค่นอำนาจ รัชกาลที่๖ ด้วยการลอบสังหาร แต่เพราะ ร.อ.ยุทธ คงอยู่ (หลวงสินาดโยธารักษ์) มือสังหาร กลับกลัวความผิดก่อนก่อเหตุจึงนำความไปบอกผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ในเวลานั้น จนความทราบไปถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลให้ผู้ก่อการถูกจับและจำคุกที่คุกกองมหันตโทษ ที่สร้างขึ้นใหม่ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๗
หลังจากนั้น เพียง ๘ ปี กลุ่มกบฎอย่าง “คณะราษฎร “จึงกำเนิดในในยุคสมัยของรัชกาลที่๗ และเป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
สามารถอ่าน เรื่องราวความพยายาม คณะราษฎร ที่กระทำต่อ รัชกาลที่๗ และการ บิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ ในบทความ ดงันี้
“ยุคมืดของสยามกับการบูชาเทพีแห่งรัฐธรรมนูญ” ปราชญ์ สามสี ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/photos/a.1403156996659987.1073741826.1403156603326693/1533003727008646/?type=3&theater
“ถ้าสยามไม่มีคณะราษฎร” ปราชญ์ สามสี ๐๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/photos/a.1403156996659987.1073741826.1403156603326693/1592632414379110/?type=3&theater
ยังจำได้ไหม? คณะราษฎรเคยออกกฏหมายให้”ดนตรีไทย”เป็นเรื่องผิดกฏหมาย … ปราชญ์ สามสี เขียนเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1613766052265746
เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า นายปรีดี พนมยงค์ หนึง่ในผู้ก่อการของคณะราษฎรในขณะนั้นเป็นบุคคลสำคัญในการวางแผนครั้งนี้
โดยการวางแแผนทั้งหมดเพื่อโค่นสถาบันฯและเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น เริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศที่ นายปรีดีไปศึกษาอยู่นั่นเอง … สิ่งที่น่าสนใจคือ มีประวัติศาสตร์บางส่วนถูกระบุว่า นายปรีดีได้รับอิทธิพลจากการอ่านงานเขียนของ “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร กุหลาบ” เป็นนิจและเคยมีอุดมการณ์ที่ว่าจะ สานต่อ อุดมการณ์ของกบฎร.ศ.๑๓๐ให้สำเร็จ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม นายปรีดีถึงคิดก่อการได้โดยง่าย นั้นก็เพราะ เขา”มองเห็นและใช้ประโยชน์ งานเขียน “ก.ศ.ร กุหลาบ”ในการทำลายความเชื่อมั่นศธัทธา ต่อสยามและสถาบันฯพระมหากษัตริย์ และเชื่อ “คาดหวังจะตั้งสยามใหม่”
แนวคิดของ“ก.ศ.ร กุหลาบ”ดังกล่าว อาจจะไมไ่ด้มีอิทธิพลต่อ ปรีดีเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีอิทธิพลต่อ คณะราษฎร์ทั้งหมด แนวคิดดังกล่าวดูเป็นเหตุเป็นผลเมื่อ คณะราษฎร สามารถข่มขู่ รัชกาลที่๗ เอาอำนาจมาครองได้ ด้วยการ”บิดเบือนข่าว”ใส่ร้ายป้ายรัชกาลที่๗ ด้วยความเท็จอย่างเลวร้าย ผ่านสื่อมวลชน อย่างหนังสือพิมพ์ในเวลานั้น รวมไปถึงการเปลี่ยนชื่อประเทศ จากสยามไปสู่ประเทศไทย และการเปลี่ยนเพลงชาติ จาก สรรเสริญพระบารมีไปสู่เพลงชาติไทยในแบบ คณะราษฎร รวมไปถึงการเสียเงินจำนวนมากเพื่อสร้างสถาปัตยกรรม เพื่อยึดโยง หลัก ๖ ประการของคณะราษฎร ที่หยิบยืม แนวทางมาจาก คำขวัญประจำชาติของสาธารณรัฐ ฝรั่งเศส เช่น เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ เป็นต้น
แต่ก็สามารถปกครองได้ไม่นาน(ราว ๒๐ปี)ก็เสื่อมสูญเพราะปัญหาการเมืองภายใน และปัญหาประชาชนยากจน … จุดรอยต่อสำคัญที่ทำให้ ฝ่าย คณะราษฎรพ่ายแพ้คือการสูญเสียรัชกาลที่๘ จากการลอบปลงพระชนม์
ทำให้ ยุดของปรีดีถึงจุดจบด้วยการลี้ภัยไปอยู่ประเทศฝรั่งเศสจนสิ้นชีวิต
เรื่องราว ของ ลัทธิชังชาติยังไม่ได้หยุด แต่”มันพึ่งเริ่มขึ้น” เมื่อการฟื้นฟู “ราชอาณาจักรไทย”เริ่มขึ้นในสมัยช่วงต้นของรัชกาลที่๙ จากการวางรากฐาน “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” แต่ในการวางรากฐานประชาธิปไตยท่ามกลางสิ่งหลงเหลือจากคณะราษฎรนั้นไม่ได้ทำกันได้โดยง่าย โดยเฉพาะปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ที่เติบโตมาจากทหารยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สงผลให้เกิดความขัดแย้ง ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ เกิดเหตุการ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ในเวลาต่อมา
ซึง่ ทั้งสองประเด็นเป็นประเด็นการ”ต่อต้านการทุรจริต”เป็นสำคัญ แต่ก็ได้รับอิทธิพลบางส่วนจากแนวคิด สังคมนิยมซึ่งมาจากรากฐานประชาธิปไตยบางส่วน จึงทำให้ประชาชน ที่แสดงพลัง”ประชาธิปไตย”บางส่วนอาจหลงประเด็นไปสู่การวิพากวิจารณ์การปกครองในสมัยนั้นได้ ตามความเชื่อทางการเมืองที่แปลกใหม่ในช่วงนั้น
แต่ในกรณีของ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้นกลับไม่จบดีเหมือน เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา เนื่องจาก ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้นมีกลุ่มผู้นิยม”ลัทธิคอมมิวนิส” หรือเรียกได้ว่าซึมซับ”ลัทธิคอมมิวนิส”ในลักษณะท่องจำจึงต้องการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่สังคมนิยม…
ผลของการพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองของสงผลให้บางส่วนต้องหลบหนีเข้าป่าไป บางส่วนถูกจับ และยุทธวิธีทางการทหารทำให้ผู้ที่ฝักใฝ่คอมมิวนิส กลับใจ ส่งผลให้เรื่องราวคลีคลาย ส่งผลทำให้ กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่มีหัวขบฎต่อรัฐ(และมีความคิดต่อต้านสถาบันฯ)อยู่ในสภาพ”ดักแด้” ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพราะขาดกำลังสนับสนุนและปัจจัยทางการเมืองไม่อำนวยในการต่อต้าน จึงเป็นช่วงที่นักเคลื่อนไหวหลายๆคนเข้าสู่เวทีสถานศึกษาและนั้นจึงเกิดกลุ่มคนที่ เป็นต้น”ลัทธิชังชาติ”ในปัจจุบันหลายคนๆ .
..
จุดเริ่มต้นกระบวนการ ซ้ายใหม่เริ่มต้นจากจุดนี้ และได้หยิบยืม แนวคิด “ก.ศ.ร กุหลาบ” และ “ปรีดี พนมยงค์” อีกครั้ง และเริ่มบิดเบือนประวัติศาสตร์ในอดีตให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองโดยเริ่มโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ และบูรพกษัตริย์ จึงเกิดขึ้น แต่การวิวิฒนาการณ์ทางความคิดกลุ่มซ้ายใหม่นั้น ถูกพัฒนาให้ไปสู่แนวคิด”แบบเสรี” ที่อ้างอิง อเมริกันมากขึ้น
จุดนี้เป็นการรวมตัวจากนักวิชาการหลายสาย …ที่อ้างอิง อเมริกัน อ้างอิง คาลมาซ หรือแม้กระทั้งอ้างอิงลัทธิเหมา แต่โดยทั้งหมดแล้วพบว่า พวกเขาเคยมีอดีต มาจากความอกหักทางการเมืองในแต่ละบุคคล และในจุดร่วมทางความคิดนั้นพวกเขาได้ยืนความ คิดแบบ “ปรีดี พนมยงค์” และต้องการรื้อฟื้นวิธีการแบบ “ปรีดี พนมยงค์” ที่ ดิ้นได้ทั้ง เสรีนิยมแบบอเมริกัน คอมมิวนิสแบบจีน-รัสเซีย และ สาธารณะรัฐแบบฝรั่งเศส (เรียกได้ว่าลูกผสมแบบปรีดี)
ในช่วงต้นปี ๒๕๕๐ กลุ่มพวกนี้รวบรวมตัวเองเป็นกลุ่มลับและต้องการล้มล้างการปกครองในรูปแบบปัจจุบันให้ได้ จึงเริ่มเคลื่อนไหว ในลักษณะที่สอดคล้องกับพรรคการเมืองและทุน ที่ได้จากต่างประเทศจึงทำให้เกิดขบวนการล้มเจ้า ซึ่งมีฐานความคิดมาจากกลุ่ม อดีต แกนนำ ๖ ตุลา ซึ่งมีความพยายาม สร้างเรื่องราวความขัดแย้งและเสี้ยมให้คนเกลียดกันมากที่สุด ช่วงนึงของประวัติศาสต์ไทย
เพราะช่วงนี้เองที่เรื่องราวบิดเบือนและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องเพชรซาอุ เรื่องพระแก้วมรกต เรื่องพระเจ้าตาก เรื่องพระเนรศวร เรื่อง รัชกาลที่๗ หรือแม้แต่ เรื่องคดีสวรรคตของรัชกาลที่๘ ก็ล้วนถูก นำมาบิดเบือนทำซ้ำอย่างเป็นกระบวนการ เพื่อสร้าง แนวทาง”คณะราษฎรใหม่” ควบคู่กับการต่อต้าน วัฒนธรรมเดิมของชาติ เช่น แนวคิด ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ,ต่อต้านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ต่อต้าน พรบ.คอมพิวเตอร์ ,ต่อต้านเพลงสรรเสริญ หรือการต่อต้านการอนุรักษ์แต่งตัว รวมไปถึงการต่อต้านนิกายทางพุทธศาสนาฝ่ายขวา เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ต้องต่อต้านนั้น เพราะพวกเขาเชื่อว่า ทั้งหมด คือองค์กรประกอบที่ส่งเสริมให้ประเทศไทย เป็น”ราชอาณาจักร”
แต่หากทำลายสิ่งเหล่านี้เท่านั้น จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า “รัฐไทยใหม่” ได้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม พวกที่มีความคิดเกลียดชาติไทย …รวมไปถึงพวกที่ต่อต้านพระมหากษัตริย์ ล้วนเป็นพวกเดียวกัน
ไม่แปลกใจเลยว่าพวกที่พยายามต่อต้านสถาบันฯพระมหากษัตริย์ไทยเวลานี้ ล้วนออกมาประท้วงโดยใช้สัญลักษณ์ที่ไปหยิบยืม คำขวัญประจำชาติของสาธารณรัฐ ฝรั่งเศส เช่น เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ …. บ้างก็ใช้เงื่อนไขทางกฏหมายแบบฝรั่งเศส เช่นการตอ่ต้าน กฎหมาย lese majeste เป็นต้น
“รัฐไทยใหม่” ในจินตนาการ ยังเป็นความฝันของพวกเขา โดยที่พวกเขาเองก็หยิบยืมกำลังมาจาก ทุนต่างประเทศที่พวกเขาศรัทธา
แต่เงินที่พวกเขาใช้มาขับเคลื่อนนั้น มากจากองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มนายทุนที่ต้องการแทรกแซงหลายๆประเทศเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงสมประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
เป้าประสงค์ ที่แท้จริงของการสร้างเรื่องเท็จในการโจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย – ชาติ และ วัฒนธรรมไทยนั้น นอกเหนือจากการต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยแล้ว แท้จริงคือการพยายามให้ คนไทยเคืองโกรธกันเอง แตกความสามัคคี จึงทำให้ ต่างชาติสามารถแทรกแซงและสูบทรัพยากรณ์ได้โดยง่าย นั้นเอง
————-
ใครให้ทุนกลุ่มล้มเจ้าในไทย? ปราชญ์ สามสี
เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2014
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/photos/a.1403156996659987.1073741826.1403156603326693/1403159353326418/?type=3&theater