เจาะลึก ชีวิตขบวนการล้มเจ้าในลาว
ปราชญ์ สามสี ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐
หลังจากที่มี ข่าว ว่ารัฐบาลลาวได้ยอมรับข้อตกลงในการ แลกเปลี่ยน ผู้ต้องหา คดีหมิ่นสถาบันฯ นับเอาหลายๆคน ดีอกดีใจพอสมควร สำหรับคนที่ ติดตามคดีหมิ่นสถาบันฯมาอย่างต่อเนื่อง จะทราบดีว่า การ ตอบคำมั่นสัญญาครั้งนี้ ค่อนข้าง น่าเชื่อถือ มากกว่า ครั้งไหนๆ…
เพราะก่อนหน้านี้ เราจะมักได้ยินข่าวจากฝั่ง กระทรวงต่างประเทศของไทย ในการ ออกข่าวว่าจะไป ขอความร่วมมือต่างประเทศในการจับกุมพวกผู้กระทำผิดหมิ่นสถาบันฯ นั้น แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ยินเสียงตอบรับมาจากประเทศปลายทางเหล่านั้น เช่นประเทศ สหรัฐอเมริกา และ ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
แต่การตอบรับที่ดีของรัฐบาลลาวในครั้งนี้นับเป็นสัญญานที่ดี ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป ลาวไม่ไช่ประเทศแรกนะครับที่ ตอบรับในการ ส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ยังมีประเทศ กัมพูชา อีกด้วยที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ … โดยแลกกับผู้ต้องหาคดีหมิ่นกษัตริย์ กัมพูชา ที่ยังหลบหนีในประเทศไทย(แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า กลุ่มขบวนการหมิ่นสถาบันฯ ในเวลานั้นที่อยุู่ในกัมพูชา ล้วนยังมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะหลบหนีไปยังประเทศที่สาม เช่น นิวซีแลนต์ และ ฝรั่งเศส ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับความช่วยเหลือ จากองค์กรอิสระ อย่าง UNHCR ในฐานะผู้ลี้ภัยเป็นต้น )
แต่สำหรับคนที่ “ไม่มีที่ไป” ไม่มีทั้ง”ทุน” และ “เส้น” ที่แข็งพอ ก็ จะมากองรวมๆกันที่ประเทศ ลาว …ครับ
คงต้องขอ ย้อนกลับไปพูดถึงวิถีชีวิต ขบวนการล้มเจ้าที่ประเทศลาว ตั้งแต่ ปี ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙ แบบย่อๆ ละกันนะครับ
พวก แกนนำหัวขบวนที่ประเทศลาวนั้น จะมี อยู่ สองกลุ่มที่เห็นชัดๆ และพวกนี้ จะเป็น คนกุมบ่อเงินบ่อทองไว้ นั้นก็คือ ... สุรชัย แซ่ด่าน และ อ สุดา รังกุพันธ์ และพวกนี้ จะมีการ จ่ายเงิน “ค่าคุ้มครอง”ไว้กับ”มาเฟียลาว” เพื่อให้ตนเองสามารถ ทำคลิปหมิ่นสถาบันฯได้อย่างปลอดภัย
โดยเฉพาะ สุรชัย แซ่ด่าน นั้น มีเงิน ที่ได้มาจาก แกนนำระดับ “หัวท็อบ”มือซ้ายมือขวาทักษิณ ที่อาศัยอยู่ในอเมริกา มาประมาณ หลักแสนบาท เพื่อนำมาบริหารจ่ายเงินเลี้ยงให้กับกลุ่มขบวนการล้มเจ้าที่ อาศัยอยู่ที่ลาว และ จ่าย “ค่าคุ้มครอง”ไว้กับ”มาเฟียลาว”อีกด้วย
ซึ่งในกรณีเงินก้อนใหญ่ที่ได้มานั้น กลับไม่ได้มาใช้จ่าย อย่างที่ควรเป็นแต่กลับถูกนายสุรชัยนำไปปล่อยกู้ ในหมู่คนในขบวนการ และขูดดอกเบี้ยมหาโหด และบีบให้ต้องทำคลิปหมิ่น เพื่อดำรงชีพ
กลุ่มเหล่านี้ไม่มีซึ่งเส้นสายการเมือง และความร่ำรวย จึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบันฯ โดยการทำคลิปหมิ่นฯ แลก ค่าข้าว เป็นเงิน จำนวน ๓๐๐๐ บาทต่อเดือน และเพิ่มให้ ๓๐๐ บาท ต่อ หนึ่งคลิปหมิ่น … จึงกลายเป็นว่า คนที่ทำอยู่ก็ จำต้องทำต่อไป เพราะไม่มีโอกาสไปทำอาชีพอื่นได้ นอกจากการทำอาชีพหมิ่นสถาบันฯ หากินไปวันๆ อาจจะมีการ รับจ้าง ถางหญ้าบ้าง … ตัดไผ่บ้าง …หรือรับจ้างเป็นกรรมกรบ้าง เพื่อ ดำรงชีวิต
สำหรับคนใด ที่หนีไปที่ลาวแล้วโชคดี หน่อย ได้สาวลาวเป็นเมีย … และสาวลาวมีธุรกิจในลาว ก็จะเริ่มวางมือทางการเมืองออกไป … พวกนี้หายสาบสูญไปเลย
เพราะแท้จริงแล้วไม่ต้องการมีปัญหากับรัฐบาลลาว ซึ่งโดยปรกติแล้ว รัฐบาลลาวจะคอยมากดดัน ขบวนการหมิ่นสถาบันฯ ไม่ให้พวกที่หนีไปอยู่ที่ลาวเหล่านี้ ใช้ ลาวเป็นฐานที่มั่นอย่างชัดเจน
ซึ่งหาก ทางการลาวจับได้ โอกาสที่จะได้อยู่กับเมียลาว มีชีวิตที่พร้อม ก็คงต้องพังทลายไป …
ส่วนคนที่ยังจำเป็นต้องทำคลิปหมิ่น ก็ จะต้องแอบๆ ซ่อนๆ ทำอยู่บ้าง หรือถ้าจะต้องทำ ก็จะไม่หมิ่น แบบโจ่งแจ้งจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่จะทำในลักษณะ วิจารณ์ เสียดสี และ เล่นตลก เสียมากกว่า เพื่อเลี่ยงบาลี อยู่พอสมควร …
สำหรับคนที่ทนไม่ไหวกับการขูดรีด ก็ต้องกลับประเทศไทย ไปติดคุก
เช่น กรณี ของนาย ธเนตร อนันตวงศ์ ซึ่งหนี คดี ใส่ร้ายอุทยานราชภักดิ์
ไปอยู่ที่ประเทศลาว กับ “ขุนทอง ไฟเย็น “อยู่ ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องหนี ตาย กลับมายอมติดคุกในประเทศไทยดีกว่ าเพราะอยู่ที่ประเทศลาวกับพวกในขบวนการ แล้ว เกือบ”อดตาย”
ส่วนกรณีของ สุดา รังกุพันธ์ นั้นต่างออกไป นิดหน่อยเพราะเงินที่ได้ มาจากกลุ่ม นิติราษฎร บางคน ที่คอยแอบส่งให้เป็นการส่วนตัว โดยไม่ผ่านเครือข่ายทักษิณ จึงทำให้ นางอยู่ได้ค่อยข้างสบายและ นางสุดารังกุพันธ์ ไม่มีลูกน้องและเน้นทำงานคนเดียวจึงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่าจนน่าอิจฉา
“ขุนทอง ไฟเย็น” นึงในคนที่มีความสามารถในการตัดต่อคลิปในสตูหลัก ก็วงแตกออกมาโดยทันที และตั้งหลัก กับ แยมมี (แฟนสาว) หาเงินเองโดยทำคลิปหมิ่น หารายได้จากยอดวิว ผ่าน YOUTUBE ซึ่งแรกๆเชื่อว่ารายได้ดี แต่ต่อมาก็ลำบากลงพอสมควร … สำหรับกรณี ขุนทอง ไฟเย็น นั้นเคยมี อาชีพ เป็นครูสอนดนตรี ในโรงเรียนเล็กๆในประเทศลาวอยู่พักนึง จึงเชื่อว่า มีรายได้จากการทำอาชีพเสริมของตัวเองอีกด้วย เสริมอีกทาง
หลังจาก ผ่านไปได้สองปี (เข้าปี ๒๕๕๙) ขบวนการล้มเจ้า กลุ่มนี้ก็”เงินหมด” เพราะไม่สามารถทำงานได้ผลตามเป้าหมายอีกทั้งสภาพทางการเมืองของฝ่ายริเบอรัลในประเทศไทยยังแพ้ย่อยยับ ทำให้นักการเมือง มองไม่เห็นคุณค่า กลุ่มเหล่านี้ จึงตัดงบประมาณในที่สุด จึงทำให้ ครึ่งของขบวนการล้มเจ้าในประเทศลาว แทบล้มสลาย… สุรชัยแซ่ด่าน ก็ ยุติบทบาทไป เนื่องจากไม่มีกำลังคนที่ช่วยเหลือแล้ว เพราะหลบหนีออกไปหมด เหลือแต่ตัวเองที่นอนกอดเงินกองเดิมไว้ เพียงตัวคนเดียว (มีเพียง ติโต้ ที่คอย ทำคลิป LIVE กับสุรชัย ผ่านเฟสบุ๊กให้บ้างแต่ไม่บ่อย เหมือนแต่ก่อน) ส่วน “ขุนทอง ไฟเย็น” ที่เคยทำงานให้สุรชัย ก็แยกตัวมาทำเองสองคนกับเมีย แบบเล่นกันเองสองคน
ส่วน เต้ย -ป๋าจอมตั๊ป หนึ่งในสมาชิก วงไฟเย็น ก็เน้นเคลื่อนไหวเบาลงมาก เนื่องจากได้เมียทำธุรกิจความงามที่ประเทศลาว … จึงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับ สุรชัยอีกต่อไป …อีกทั้งตัวเองก็ได้เงินจาก การขายกุ้งสี เลี้ยงตัวเองไปได้บ้าง
แต่ก็ยังไปไหนมาไหนได้อย่างจำกัด และไม่สามารถมีอาชีพที่ชัดเจนได้ เพราะว่าตนเองเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งอยู่ อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งมีการจำกัดขอบเขต – การทำผิดกฎไม่ไช่หนทางที่ดีของที่นี่ เพราะมีโอกาสถูกเนรเทศได้เสมอ
แต่กรณีของเต้ย นั้นแตกต่างออกไป เต้ยจะโพสแสดงความเป็นริเบอรัลในประเด็นสากลค่อนข้างบ่อย(ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่จะเป็น การประท้วงทางออนไลน์ เพื่อให้ปล่อยนักโทษทางการเมือง ตามแนวทางของ องค์กร เอ็มเนสตี้ ) จึงเชื่อได้ว่า เขากำลังพยายาม หาช่องทางให้องค์กรอิสระ ของ จอร์จ โซรอส เข้ามาช่วยเหลือตนเองซึ่งกำลังต้องการหลบได้ในประเทศที่สาม เช่น อเมริกาตะวันตก แคนาดา หรือ ฝรั่งเศส … (เป็นคนช่างฝันมากครับ)
และเมื่อเข้าสู่ ปี ๒๕๖๐ การเมืองสหรัฐพลิกผัน เมื่อ จอร์จ โซรอสไม่มีอำนาจในรัฐบาลสหรัฐอีกต่อไป … และการเมืองในประเทศไทยก็พลิกเช่นกันเมื่อ เกิดการเปลี่ยนแผ่นดิน … ส่งผลให้ กลุ่มล้มเจ้า ในประเทศลาว มีที่ยืนน้อยลงไปอีก เมื่อรัฐบาลลาวถูกยื่นข้อเสนอให้ช่วยทางการไทยในประเด็น ส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยแลกกับผู้ร้ายชาวลาวที่หนีข้ามแดนมาฝั่งไทย (เชื่อว่าอาจจะ รวมไปถึง พ่อค้ายาเสพติด และมาเฟียชาวลาวที่หลบหนีมาไทยอีกด้วย)
อีกทั้ง มีแนวโน้มว่า โลกตะวันตกจะมีนโบายอ่อนลงในการแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเอเชีย เพื่อคานอำนาจภายในทวีปอินโดจีนในยุคของรัฐบาลโดนัลทรั่มป์เป็นปธน.สหรัฐคนปัจจุบันฯ จึงเชื่อว่า ส่งผลให้ รัฐบาลประเทศลาว และอีกหลายๆ ประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีความเป็นปึกเเผ่นมากขึ้น และ การเมืองระหว่างประเทศก็มีความ ช่วยเหลือมากขึ้น
จึงเชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะให้ การจับกุมพวกหมิ่นสถาบันฯ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถทำได้ง่ายขึ้น เพราะได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อบ้านเป็นอย่างดี
เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ทางการลาว จะให้ความร่วมมืออย่างที่ได้ สัญญาหรือไม่
ป่านนี้อาจารย์ สุดา รังกุพันธ์.. ที่หลบหนี คดี ม.๑๑๒ อยู่ที่ลาว คงกำลังพยายาม ให้เพื่อนที่ อ.จุฬา ซึ่งเป็น ลิเบอร่าน เช่นกัน โอนเงินช่วย ค่าตั๋วเครื่องบินไปโพล่ ฝรั่งเศส เหมือนกับพวก สมศักดิ์ อีกนั้นแล ครับ
ส่วนพวกที่ไม่มีแรงหนี ก็งคงต้องหายไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็ดิ้นไปตามกระแสชีวิตต่อไป
อ้างอิง จาก ปราชญ์ สามสี
ภาพเพิ่มเติมจาก แอดมิน สยามมานุสติ