“ร.ท.หญิงสุณิสา” ชักศึกเข้าบ้านอีกระลอก ไปรับทราบ 3 ข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ขนฝรั่งไปอีก 9 ชาติ พร้อมยกหางตัวเองเป็นทองแท้ไม่กลัวไฟ ผกก.3 บก.ปอท.อบรม “วิถีการทูต-ประวัติศาสตร์” ชี้ไทยไม่มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตตั้งแต่รัชกาลที่ 4 แล้ว
เมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค. เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง (เลิศภควัต) หรือหมวดเจี๊ยบ อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ ตัวแทนจากสถานทูตต่างประเทศจำประเทศไทยจำนวน 9 แห่ง ทั้งสหภาพยุโรป (อียู),สหรัฐอเมริกา, สวีเดน, เยอรมนี, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, นอร์เวย์ และแคนาดา นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย และบรรดาแฟนคลับ มาให้กำลังใจ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากับ ร.ต.อ.สมบัติ สมบัติโยธา รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.
ทั้งนี้ การรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว ถือเป็นคดีที่ 2 หลังจากที่เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ได้แจ้งข้อหาแล้ว 6 กระทง โดยครั้งนี้เป็นการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 3 กระทง ในความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 (2) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวใน 2 บัญชี ในหัวข้อ “จริงหรือไม่ที่สื่อนอกประโคมข่าวว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมไปเจรจาซื้ออาวุธเพิ่มและส่งปิดดีลส่งมอบแบล็กฮอว์ก 4 ลำ ที่เคยดีลค้างไว้ก่อนยึดอำนาจปี 2557 และจริงไหมที่สหรัฐเตรียมบีบให้ไทยเป็นแกนนำคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ และข้อความที่ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากให้คนไทยตกงานเพิ่มหรือไง จึงจะเปิดตลาดนำเข้าเครื่องในหมู แย่งตลาดพ่อค้าไทย”
ร.ท.หญิงสุณิสากล่าวภายหลังรับทราบข้อกล่าวหาว่า ขอยืนยันคำเดิมว่า ทำในสิ่งที่ถูกต้อง การที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นการปกป้องประเทศ ในครั้งก่อนเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว 6 กระทง และมาแจ้งอีก 3 กระทง ซึ่งการแจ้งความนั้นได้นำเอกสารคือข้อความการโพสต์เก่าๆ ซึ่งโพสต์เมื่อวันที่ 30 ก.ย. และวันที่ 4 ต.ค. ซึ่งไม่ใช่ประเด็นใหม่ โดยเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การเดินทางไปเยือนสหรัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นการซื้ออาวุธ ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยอันเนื่องมาจากการเจรจาไทย-สหรัฐ
ร.ท.หญิงสุณิสายังเผยถึงกรณี บก.ปอท.ทำหนังสือไปยังสถานทูตต่างๆ ประจำประเทศไทย เพื่อสอบถามถึงบุคคลที่เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในเชิงข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีว่า ไม่เข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำอะไรอยู่ประเทศไทยเป็นเมืองศิวิไลซ์ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของรัฐบาลอีกด้วย นักการทูตเพียงเข้ามาสังเกตการณ์ตามพันธกรณีในเรื่องของการปกป้องสิทธิมนุษยชน ดังนั้นต่างประเทศก็มีความเกี่ยวข้องเพียงแค่ร่วมสังเกตการณ์เท่านั้น นักการทูตไม่สามารถแทรกทางการเมืองได้
“อยากชี้ให้ประชาชนไทยได้เห็น มนุษย์เราทุกคนเกิดมานอกจากจะมีหน้าที่ของตนเองแล้ว ก็มีหน้าที่ปกป้องประเทศด้วย โดยการผลักดันในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ถ้าหากเป็นทองแท้ ย่อมไม่ต้องกลัวไฟ หรือท่านเป็นเพียงสังกะสีผุๆ ที่ย่อมกลัวไฟ” ร.ท.หญิงสุณิสาระบุ
นายนรินท์พงศ์กล่าวว่า มีการออกหมายเรียกเพิ่มเติม จึงได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นเรื่องเก่าก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. แต่เบื้องต้นยังไม่ได้รับหมายจับ แต่ทราบจากนักข่าวจึงได้รีบเดินทางมา ก็ต้องดูว่าทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีและแจ้งข้อกล่าวหาอะไร
ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าเมื่อคราว ร.ท.หญิงสุณิสามารับทราบข้อกล่าวหาในครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. มีตัวแทนทูตเพียง 5 ชาติเท่านั้น ได้แก่ อียู, สหรัฐ, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร แต่ล่าสุดมีตัวแทนทูตเพิ่มมาอีกเป็น 9 ชาติ ได้แก่ อียู, สหรัฐ, อังกฤษ, แคนาดา, เบลเยียม, สวีเดน, เยอรมนี, ฝรั่งเศส และนอร์เวย์ มาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งใน 9 ชาติที่มาครั้งนี้ เป็นตัวแทนหน้าใหม่ถึง 6 ประเทศ คือ แคนาดา, เบลเยียม, สวีเดน, เยอรมนี, ฝรั่งเศส และนอร์เวย์
สำหรับความคืบหน้ากรณี บก.ปอท.ทำหนังสือไปยังสถานทูต 5 แห่ง เพื่อขอทราบตัวตนของผู้มาร่วมสังเกตการณ์เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.นั้น พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท.กล่าวว่า สถานทูตต่างๆ ยังไม่ได้ตอบกลับมา และในวันนี้ ร.ท.หญิงสุณิสาได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้ง พร้อมชาวต่างชาติที่อ้างมาจากสถานทูตอื่นอีกหลายคน ซึ่งการทำหนังสือสอบถามไปยังสถานทูตต่างๆ ที่กล่าวอ้าง เป็นขั้นตอนการปฏิบัติตามปกติ ไม่ใช่ขั้นตอนการละเมิดทางการทูตอะไร
“ถ้าจะเอาวิถีทางการทูต ทางสถานทูตต้องแจ้งไปที่กระทรวงการต่างประเทศไทย แล้วให้กระทรวงต่างประเทศแจ้งมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ตร.ก็จะแจ้งมาที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง แจ้งมายัง บก.ปอท. และสุดท้ายแจ้งมาที่ผม แต่นี่เขามาในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ เมื่อเขามาไม่เป็นทางการ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเขามาจากสถานทูตจริงไหม เรื่องก็มีอยู่แค่นี้”พ.ต.อ.โอฬารอธิบาย
พ.ต.อ.โอฬารยังกล่าวว่า ถ้ามาจากสถานทูตต่างๆ จริงก็ไม่มีปัญหา ถ้าต้องการข้อมูลอะไรก็จะสนับสนุนเพื่อเปิดเผยความบริสุทธิ์ใจของกระบวนการยุติธรรมไทย ถ้าไม่ใช่แล้วมีการแอบอ้างก็จะเข้าข่ายทางกฎหมาย เกิดความเสียหายกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งหมวดเจี๊ยบก็เป็นคนไทย ตนเองก็เป็นตำรวจไทย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นคนไทย คนที่ถูกพูดถึงก็เป็นคนไทย กระบวนการยุติธรรมก็เป็นกระบวนการยุติธรรมไทย หมวดเจี๊ยบไม่ใช่เป็นคนบังคับของสหรัฐ หรืออียูแล้วต้องเสียสิทธิภาพนอกอาณาเขตว่าถ้าเป็นคนบังคับพวกนั้นต้องไปขึ้นศาลเขา
“เราไม่เสียสิทธิให้ใครตั้งแต่รัชกาลที่ 4 แล้ว วันนี้เราเป็นเอกราช มีตัวบทกฎหมาย มีมาตรฐานเช่นเดียวกันกับประเทศที่เจริญแล้ว แล้วผมยืนยันว่าสิทธิของผู้ต้องหาในประเทศไทยดีมากกว่าสิทธิของผู้ต้องหามากกว่าประเทศที่เจริญแล้วหลายๆ ประเทศที่ส่งคนมาสังเกตการณ์ของประเทศที่หมวดเจี๊ยบอ้าง อะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีการอ้างอิงสถานทูตประเทศนั้นประเทศนี้มาเกี่ยวพันมันสร้างความกดดันให้กับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ผม ผมไม่เคยถูกกดดัน เจ้าหน้าที่ดำเนินการเพราะเข้าข่ายการกระทำความผิด จึงต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ก็เท่านั้น” ผกก.3 บก.ปอท.กล่าว.
http://thaipost.net