หลังจากที่เกิดปรากฎการณ์ “หมุดคณะราษฎร ถูกสับเปลี่ยน”เมื่อกลางเดือนเมษายนปี พ.ศ.๒๕๖๐ จนปรากฏเป็นข่าวอยู่หลายวัน ก็เกิดเป็นคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในวงสังคม เช่น ใครกันที่ สับเปลี่ยน “หมุดคณะราษฎร”, แล้วเปลี่ยนเพื่ออะไร?,หมุดคณะราษฎร แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างสันติจริงหรือ? , หาก “คณะราษฎร” ในประวัติศาสตร์กระแสหลักในยุคประชาธิปไตยนั้นเป็นคนดีจริง ทำไมท่าทีของผู้คนจำนวนนึงที่กราบไหว้หมุดคณะราษฎรในยุคปัจจุบันถึงจงเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเหลือเกิน ทั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ช่วยเหลือปวงชนชาวไทยมาตลอดชีวิต
ความลักลั่นทางตรรกะ นับเป็นกระแสที่ทำให้ ผู้คนต่างพากันให้ความสนใจกับ ประวัติศาสตร์มากมายที่เกี่ยวกับ ประวัติศาสตรฺกระแสรองของ”คณะราษฎร” ในด้านมืดที่ไม่มีใครเคยกล่าวไว้ในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะน้อยคนนักจะทราบถึง ความเลวร้ายของคณะราษฎรที่ได้กระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕-๒๔๘๒ เช่น การช่วงชิงอำนาจ ด้วยการจับพระบรมษานุวงษ์เป็นประกัน หรือการบังคับข่มขู่ หรือกลั่นแกล้งเชื้อพระวงศ์ ต่างๆนาๆ เป็นต้น
แม้ว่า”คณะราษฎร”จะหมดสิ้นอำนาจภายหลังที่ นาย ปรีดี พนมยงค์ได้ ลี้ภัยไปยังประเทศฝรั่งเศส เป็นอันปิดฉาก “ยุคมืดของคณะราษฎร”ไปแล้วก็ตาม แต่ประวัติศาสาตร์ช่วง”คณะราษฎร” ก็ยังคงดำมืดไม่มีใครพูดถึงความล้มเหลวเหล่านั้น สื่อกระแสหลักหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตลอดช่วง ๘๐ กว่าปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า มีแต่การชมเชย “คณะราษฎร”ว่าเป็น”ผู้อภิวัฒน์ชาติ” โดยไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ด้านเลวร้ายที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมสานุวงศ์ ออกมาให้ประชาชนชาวไทยพบเห็นอย่างชัดเจน
ดังนั้น การที่ “หมุดคณะราษฎร” ถูกสับเปลี่ยนนั้น เปรียบเหมือนการ พลิกประวัติศาสตร์ด้านมืดของคณะราษฎรให้กลับมาเด่นชัดขึ้น
การสูญหายของ “หมุดคณะราษฎร” และถูกเปลี่ยนเป็น”หมุดสยาม”ที่มีข้อความว่า “ขอประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาสุขสันต์หน้าใสเพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง” นับเป็นเรื่องน่าสนใจ โดยเฉพาะทิศทางของ หมุดใหม่นั้น เป็นการมองประโยชน์สุขของประชาราษฎร มากกว่าแค่ “คณะราษฎร” ซึ่งเพียงกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียวของสังคม
บางฝ่าย ได้ตั้งสมมุติฐานว่า เหตุการดังกล่าวเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ชัดถึงการสิ้นยุคของฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งฝ่ายผู้เคลื่อนไหวโค่นล้มสถาบันฯที่อยู่บางคนยังมองว่า ตัวตนของ “คณะราษฎร”กำลังถูกลดความสำคัญ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีใครซักคนในกลุ่ม ที่ชื่นชมแนวทางของ”คณะราษฎร”จะจัดสร้างและขาย พวงกุญแจ “หมุดคณะราษฎร” เพื่อรักษาตัวตนของ “คณะราษฎร”ไม่ให้ถูกลืม เหมือนที่คณะราษฎรเคยทำกับ บูรพกษัตริย์สยาม
ล่าสุด กลุ่มผู้นิยม คณะราษฎร จำนวนนึง ได้พยายามผลิตจำหน่ายพวงกุญแจ “หมุดคณะราษฎร”อันเป็นเหมือนการ รำลึกหรือเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุน”คณะราษฎร” อยู่เนืองๆ… ในกรณีของ นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ก็เช่นกัน จากการตรวจสอบข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่า นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้ออกมาช่วย ขายพวงกุญแจ “หมุดคณะราษฎร ๒๔๗๕ “โดยอ้างว่าเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของนักศึกษา (ข้อมูลนี้ได้จาก เฟสบุ๊ก ของ นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย )
แต่จากการตรวจสอบข้อมูลจากเฟสบุ๊กส่วนตัวของ นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล พบว่า พวงกุญแจ “หมุดคณะราษฎร ๒๔๗๕” และสติ๊กเกอร์ ลายหมุดคณะราษฎร นั้นเป็นสินค้าที่มีการผลิตมาจากกลุ่ม “CatSlave”ซึ่งมีการเปิด เฟสบุ๊ก แฟนเพจ และเว็บไซต์ทางการเพื่อขาย สินค้าเหล่านั้นอย่างชัดเจน
และ เมื่อตรวจสอบ เว็บไซต์ของ “CatSlave” ที่เปิดขายไว้ที่เว็บไซต์ https://catslavenovelty.bentoweb.com และพบว่า สถานที่ผลิต หมุดคณะราษฎร ๒๔๗๕”นั้น คือ บ้านเลขที่ ๖๖๖ ถนนเจริญนคร แขวงบางลำภูล่าง, เขตคลองสาน , กรุงเทพมหานคร ๑๐๖๐๐ โดย ระบุ วิธีการสั่งซื้อสินค้าดังเหล่านี้ จะต้องโอนเงินเข้า บัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขา: ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ชื่อ บัญชี จักรพันธุ์ มหามนตรี 475 273 254 7
และ ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี สาขา: พหลโยธิน กม.๒๖ ชื่อ บัญชี จักรพันธุ์ มหามนตรี 7791645089
เรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจ เพราะ จากชื่อ จักรพันธุ์ มหามนตรี เมื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นหนึ่งใน มวลชนนักเคลื่อนไหว ต่อต้านร่างพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ที่ หอศิลป์กรุงเทพฯ เมื่อธันวาคม ปี ๒๕๕๙ และเมื่อตรวจสอบ ที่อยู่ บ้านเลขที่ ๖๖๖ ถนนเจริญนคร ที่ปรากฏในเว็บไซต์ “CatSlave” นั้น ก็พบว่าเป็นสถานที่เดียวกันกับ “มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป” ซึ่ง เป็นมูลนิธิที่ นาย สุลักษณ์ ศิวรักษ์เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมูลนิธิ และ ยังเป็นเลขที่บ้านเดียวกัน กับสถานที่ ที่นาย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เคยใช้ในการกบดาน ในสมัยหลบหนีคดีหมิ่นสถาบันฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑
นั่นแปลว่า มีความเชื่อมโยงกันระหว่างนาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และนาย จักรพันธุ์ มหามนตรี และ นาย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อย่างน่าสนใจ
เรื่องนี้ นับว่าน่าสนใจว่า นาย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) นั้นรู้เห็นเป็นใจหรือไม่? กับการที่ เนติวิทย์และเยาวชนเหล่านี้ ใช้สถานที่ของตน ในการผลิต สินค้าอย่าง พวงกุญแจหมุดคณะราษฎร และเงินรายได้จากการซื้อขายสิ่งเหล่านี้ไปถึงกลุ่มใครหรือนักเคลื่อนไหวกลุ่มใด?
————————————————————————————————————
ทั้งนี้ คงต้องย้อนรอย ประวัติของ นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล กันหน่อยนะครับ
นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คนล่าสุด ผู้ที่เคยกล่าวว่า ตนเองต้องการ คัดค้านการพิธีการหมอบกราบถวายบังคมพระบรมรูปของล้นเกล้ารัชกาล
ในครั้งนั้น นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้ระบุว่า “หลังจากได้แสดงเจตจำนงสนับสนุนการกระทำของคุณอั้ม เนโกะผู้อำนวยการฝากครู มาบอกว่า ไม่อยากให้นำธงดำขึ้นเป็นธงชาติ ก็ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร สำหรับผม ธงดำ ธงแดง ธงขาว ไม่มีสาระสำคัญอะไร ยิ่งธงชาติปัจจุบันผมเห็นว่าเป็น สิ่งที่ต้องแก้ไข ผมร้องเพลงชาติทีไรผมรู้สึกคลื่นไส้ทุุกที”
เรื่องพฤติกรรมนี้ ของ นาย เนติวิทย์ ที่เหยียดย่ำ”เพลงชาติ-ธงชาติ”นับว่าเป็นเรื่องเศร้า หลายคนสงสัยนาย เนติวิทย์ มีประวัติ อย่างไรในอดีต ก็คงสามารถเล่าได้ดังนี้ครับ
นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นอดีตเลขาธิการกลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท และบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาสันติธรรม และเป็นรองเลขาธิการกลุ่ม ยุวชนสยาม
ซึ่งเรื่องนี่นับว่าน่าสนใจครับเพราะ “เลขาธิการกลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท” อีกคนนอกเหนือนาย เนติวิทย์ นั้นก็คือ นาย พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน หนึ่งในเยาวชนเคลื่อนไหวที่คอยเคลื่อนไหวแซะ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ จันทรโอชา และสนับสนุนแนวคิดของคณะราษฎรอยู่ตลอด …
ส่วน ห้องสมุดประชาสันติธรรม ที่ นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เคยร่วมทำงานอยู่ในอดีต นั้นก็เป็นของ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งเป็นของ ส.ศิวรักษ์นั้นเอง
ส่วนกลุ่ม ยุวชนสยาม ที่นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้เคลื่อนไหว จัดตั้งร่วมกับ นาย อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ นั้นก็ได้ นาย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) เป็นที่ปรึกษานั้นเองครับ
– เขียนโดย “หลักสี่”-