“หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์”
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”………….
อรรถาธิบายผ่านไลน์ เมื่อวาน (๒๗ พ.ย.๖๐) ประเด็น “นายนิพิฏฐ์” ไปพูดคล้ายตกลงนอกรอบกับ “เพื่อไทย”
จะ “จับมือกัน” เซตซีโร ระบบ คสช.และทหาร
ไม่ให้ “พลเอกประยุทธ์” กลับเข้ามาเป็น “นายกฯ คนนอก” หลังเลือกตั้ง เมื่อวันก่อนนั้น
ข้อความในไลน์มีว่า…….
“ทุกคนในพรรครวมทั้งคุณนิพิฏฐ์ยืนยันตรงกันว่า อุดมการณ์ไม่ตรงกันก็ร่วมกันไม่ได้
สิ่งที่พูด เป็นการตอบคำถามสมมติ ซึ่งทางคณิตศาสตร์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้
ขอบคุณทุกท่านที่สะท้อนความรู้สึกมาครับ”
ฮื่อ…………
-“เป็นการตอบคำถามสมมติ”
-“ทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างอื่นไม่ได้”
นักการเมืองนี่ แต่ละคนเหมือนมี “ไพ่โจ๊กเกอร์” ติดตัวคนละใบ พร้อม “หงายกิน” ได้ทันที ที่อยากกิน
กับเรื่องสมมตินั้น ใครจะสมมติถาม-สมมติตอบอย่างไรก็ได้ นั่นก็จริงอยู่
แต่อย่าลืม “เรื่องสมมติ”
เป็นอาการสะท้อนภาวะ “จิตซ่อน” ของพวกขลาด แล้วใช้ลีลาแห่งโวหารเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนชอนไปตามทางลาด
ส่วนเรื่อง “คณิตศาสตร์” ที่กลายเป็นสูตรค้นหาอำนาจทางการเมือง ชนิด “ตายตัว” ในทัศนะนายอภิสิทธิ์นั้น
ขอโทษ…ผมจบ ป.๔ ดอนหอยหลอด เรียนไม่ถึง
ส่วนท่านจบออกซ์ฟอร์ด เรียนจนเลย ผมจึงมิบังอาจแย้งท่าน!
ความจริงนั้น “การเลือกตั้ง” ยังเป็นแค่ “เงาเนื้อในน้ำ”
แต่ขนาดยังไม่ทันเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ไปถึงขั้นติดสัด “ข้ามสายพันธุ์” นอกฤดูกาลกันแล้ว
ก็อยากบอกว่า……..
การสมมติ “ระบบ คสช.-ทหาร” เป็นพรรคหนึ่ง พลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้าพรรค
แล้ว ๒ พรรคใหญ่ ก็เริ่มสัตยาบันนอกรอบ “รวมตีน” ไล่สกัดนั้น
ปากก็ว่า “สมมติ”
แต่ในใจนั้น มี คสช.-ประยุทธ์ กดทับแน่นอก จนเกิดภาวะจิตหลอน ด้วยกลัว “ตกอำนาจ”
การทึกทักในอำนาจเอาเองล่วงหน้านั่นแหละ ทำให้เข้าใจว่า “ไม่มีทางเลือกเป็นอื่น”
นอกจากสูตรคณิตศาสตร์ผสม “ข้ามสายพันธุ์” เท่านั้น
จึงจะสามารถทำให้สภาพ “หมาในรางหญ้า”
ได้ “กินหญ้า” ในราง!?
อะไรก็ตาม ทุกการละเล่น การกีฬา หรืองานการทุกชนิด ถ้าต้องการเข้าไปสู่กระบวนการนั้นๆ สิ่งแรกที่ควรรู้-ควรเข้าใจก่อนคือ
“กฎระเบียบ-กฎกติกา” ในที่นั้นๆ
การเข้าไปสู่อำนาจบริหารระบบเลือกตั้งในปลายปี ๖๑ นั่นเช่นกัน ทุกพรรค-ทุกคน
ถ้าต้องการเข้าไปเป็นผู้เล่นอยู่ในเกมนั้น ต้องศึกษาให้เข้าใจกฎกติกา-กฎระเบียบ ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ๒๕๖๐ ก่อน
ทั้งประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ล้วน “สังฆราชรัฐธรรมนูญ” รู้กฎกติกากันดีอยู่แล้ว
เมื่อรู้ จะแสดงอาการ “ฮั้วการเมือง” โจ่งแจ้งให้เสียฟอร์มนักเรียกร้องประชาธิปไตยไปทำไม?
รัฐบาลประชาธิปไตยที่จะเกิดหลังเลือกตั้งปี ๖๑
รู้ใช่มั้ย …?
ใน ๕ ปีแรก เป็นรัฐบาลตามเงื่อนไข “บทเฉพาะกาล” ของรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๒๗๒ ที่ระบุว่า………
“มาตรา ๒๗๒ ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน
และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้”
และมาตรา ๒๖๙ ในวรรคแรก บอกว่า………
“ในวาระเริ่มแรก ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยห้าสิบคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ โดยในการสรรหาและแต่งตั้งให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้………”
นี่คือ “กติกาการเมืองระบบรัฐสภา” ในระยะ ๕ ปีแรก ตามบทเฉพาะกาล
ที่เป็นเช่นนี้………..
เจตนาให้มี “รัฐบาลใหม่” ที่ต้องบริหารสืบสานงานสร้างบ้าน-สร้างเมืองตามยุทธศาสตร์ที่ คสช.ริเริ่มและลงมือค้างไว้ให้ไปต่อเนื่อง
ไม่ใช่ใครเข้ามา ก็จะล้มงานที่ คสช.เริ่มไว้
แล้วตั้งหน้า-ตั้งตาแก้แต่รัฐธรรมนูญ ไปตามที่พวกกูชอบจะกอบ-จะโกย!
เหตุนั้น ใครต้องการเข้ามาแข่งขันฟุตบอลการเมืองสนามนี้ ในปี ๖๑ ก็ต้องยอมรับกฎกติกานี้ ใน ๕ ปีแรก
อยากเล่น ก็อย่าโวย……….
ถ้าเห็นว่ากติกาเฮงซวย รับไม่ได้ ก็บายไป ยังไม่ต้องลงมาเล่นในฤดูกาลนี้ ไม่มีใครว่าอะไรนี่
และจริงๆ แล้ว ตามกติกาไม่ได้ปิด-เปิดประตูให้ใครเป็นการพิเศษ
เพียงแต่นักกินเมืองเก่า “ต้มยำประชาธิปไตย” ซดกันไม่คล่องคอเหมือนเดิมเท่านั้น
ในทางเป็นจริง พรรคไหน-คนไหน “เจ๋งจริง-ดีจริง” ประชาชนเชื่อถือศรัทธา ลงคะแนนให้มากๆ ตอนเลือกตั้ง
เข้ามาเป็นรัฐบาล-เป็นนายกฯ ได้ทั้งนั้น!
เพียงแต่ ๕ ปีแรก การโหวตเอาใครเป็นนายกฯ ต้องใช้เสียงข้างมาก จากทั้ง ๒ สภา “ส.ส.-วุฒิฯ” รวมกัน
ซึ่ง “มากกว่า” ปกติ เดิมๆ เอาเฉพาะเสียง ส.ส.เท่านั้น!
ปกติ ส.ส.มี ๕๐๐ ส.ว.มี ๒๐๐ รวม ๗๐๐ เสียง แต่ในบทเฉพาะกาล ๕ ปีแรกนี้
ส.ว.มี ๒๕๐ คน!
๒ สภารวมกัน คือ ๗๕๐ กึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา คือ ๓๗๕
การโหวตเลือกนายกฯ ต้องได้เสียง “เกินกึ่งหนึ่ง”
นั่นคือ เมื่อพรรคแกนนำเสนอชื่อนายกฯ ต่อที่ประชุมรัฐสภาแล้ว
ต้องได้เสียงสนับสนุน มากกว่า ๓๗๕ เสียงขึ้นไป!
ทีนี้ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย เขามั่นใจว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ พวกเขา ๒ พรรค จะต้องได้ ส.ส.มากกว่าพรรคอื่นๆ
แต่ด้วยระบบจัดสรรปันส่วน ส.ส.ตามมาตรา ๙๑ ยากที่พรรคเดียวจะมีเสียงเกินครึ่ง
ยึดตามฐานคะแนนเลือกตั้งปี ๕๔ ต้องเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ผสมพันธุ์กัน ๒๖๕+๑๕๙=๔๒๕
นั่นแหละจึงจะชนะ………
พรรคที่เหลือ บวก ๒๕๐ วุฒิสมาชิก หมดความหมาย!
ในการโหวตหาตัวนายกฯ สมมติคนที่พรรคเสนอชื่อ เสียง ส.ส.สนับสนุนไม่ถึง ๓๗๖ คน
ถ้าคนนั้น “ดีจริง” เป็นที่ประจักษ์ มหาชนยอมรับ…ผมเชื่อ
“วุฒิสมาชิก” ก็ต้องโหวตให้
ไม่อย่างนั้น “วุฒิ” จะแปลว่า “เสียหมา”!
ประเด็นที่พรรคการเมืองต้องตระหนักก็คือ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองให้ถ่องแท้ว่า
ดีจริง-ดีพร้อมและดีกว่า “พลเอกประยุทธ์” จนมั่นใจได้ว่า
เข้าสภาฯ แล้ว เสียงส่วนใหญ่ “ยอมรับ” และโหวตให้!?
ก็เพราะตัวเองก็ยังไม่มั่นใจว่า “ดีจริง” หรือไม่นั่นแหละ จึงต้องผสมข้ามสายพันธุ์
หวังกำจัดระบบ คสช.-ทหาร ให้ออกไปจากเส้นทางอำนาจ!
และกวาดตาทั่วระบบ คสช.-ทหาร ป๊อกไม่ใช่ ป้อมไม่ใช่ ฉัตรไม่ใช่ ที่จะมาเป็น “นายกฯ คนนอก”
เมื่อหา “คนใน” ที่ดีขึ้นเป็นนายกฯ ไม่ได้ ก็มีแต่ “ประยุทธ์” สุดสวิงริงโก้หนึ่งเดียวคนนี้ ชื่อถึง-ชั้นถึง-ฝีมือถึง
เสียอย่างเดียว “เงินไม่ถึง-พึ่งยาก”!
คณิตศาสตร์นั้น ถึงแม้จะมีคำตอบ “หนึ่งเดียว”
แต่สูตรไปสู่คำตอบหนึ่งเดียวนั้น มีร้อยวิธีการ-พันยักเยื้อง
เหมือนรัฐบาลประชาธิปไตยระบบเลือกตั้ง
คำตอบหนึ่งเดียวคือ “เสียงข้างมาก”
แต่ “เสียงข้างมาก” ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะพรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ หากแต่ขึ้นอยู่กับ “คนดี-มีผลงาน-มหาชนยอมรับ” ตะหาก
ดังนั้น เมื่อตีโจทย์ การเมือง ๕ ปีแรกตามบทเฉพาะกาล “ผิด”
“เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ก็พลาด ตั้งแต่บันไดขั้นแรกแล้ว.