“:::สูงสุดสู่สามัญ:::
สำหรับผู้ชายคนนั้นแล้ว ผมมักจะชอบพิจารณา “เขา” โดยไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง พิจารณาเขาอย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไป ผมไม่ได้บอกว่าวิธีนี้มันดีหรอกนะ แต่มันทำให้ผมมองเขาได้รอบด้านและเข้าใจ สิ่งที่เขาทำอย่างเป็นเหตุเป็นผล และที่สำคัญ คือ มันทำให้ผม “เข้าถึงเขาทางความคิด” ได้มากขึ้น
ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบ โตมากับพี่สาว พี่ชาย ถูกเลี้ยงมาอย่างธรรมดาโดยแม่สามัญชนที่เป็นอดีตเด็กกำพร้าด้วยเหมือนกัน ผมเชื่อว่าด้วยเพราะแม่ของเขานี่แหละ ที่หล่อหลอมเขาให้โน้มเอียงมาทางคนธรรมดามากกว่าสถานภาพพิเศษที่มีคนหยิบยื่นมาให้
เขาใช้ชีวิตวัยเด็ก ท่ามกลางการกวาดล้างครั้งใหญ่ทางการเมือง ญาติสนิทมิตรสหายในตระกูลของเขาถูกตีแตกพ่าย กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ทรัพย์สินถูกยึดไปเป็นอันมาก พี่ชายเขาถูกผลักดันขึ้นมาให้เป็น “ผู้นำในเชิงสัญลักษณ์” ตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ โดยคณะทหารที่พึ่งปฏิวัติเสร็จสิ้นไปไม่นาน มีอำนาจเต็มที่ และต้องการปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนสำหรับครอบครัวเขามากอยู่นะ ครอบครัว ซิงเกิลมัม ที่ต้องคอยประคับประคองลูกๆ ทั้ง 3 ให้ก้าวผ่านระหกระเหินแห่งสมรภูมิชีวิต…
เช้าวันหนึ่งตอนเขาอายุ 18 พี่ชายที่เขารักใคร่ก็มาจากไปก่อนวัยอันควร ตกหัวค่ำวันเดียวกัน น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง เขาก็ถูกกดดันให้มารับภาระหนักหน่วงแทน ทุกอย่างคงจะฉุกละหุกทุลักทุเล เขายอมรับอย่างไม่อายว่า ไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้…อยากแต่จะเป็นน้องชายเท่านั้น ผมคิดว่ามันยากนะ ที่จะจินตนาการได้ว่า ในช่วงเวลานั้น เค้าจะรู้สึกอย่างไร เขาคงไม่ได้มีเวลาไตร่ตรองนานนักหรอก แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เค้าจำต้องสลัดทิ้งสถานภาพ “น้องชาย” ไว้เบื้องหลัง กล้ำกลืนความโศก แล้วก้าวเดินขึ้นไปรับตำแหน่งนั้น ด้วยตั้งปณิธาณไว้ว่าจะทำหน้าที่ให้ได้ดีที่สุด ด้วยคุณธรรม
เมื่อเขารู้แน่ว่าตัวเอง ต้องเผชิญหน้ากับภาระใดในอนาคตอันใกล้ เขากลับไปดรอปการเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ที่เขาเรียนค้างอยู่ เปลี่ยนมาเรียนทางด้านรัฐศาสตร์, สังคมศาสตร์และนิติศาสตร์แทน ผมเคยเดาเล่นๆ ว่าดูจากอุปนิสัยเขาแล้ว เขาน่าจะชอบวิทยาศาสตร์มากกว่านะ แต่ด้วยความรับผิดชอบก็ทำให้เขาต้องไปเรียนอีกด้านที่ส่งเสริมความรู้ด้านการปกครองมากขึ้น และนั่นก็ทำให้เค้าใช้อำนาจผ่านตุลาการได้อย่างเชี่ยวชาญในเวลาต่อมา
เมื่อเขากลับมาจากการเรียนเต็มตัว เขาริเริ่มโครงการทดลอง มากมายหลายอย่าง เริ่มต้นมันจากสวนรอบบ้านนี่แหละ บ้านของเขาเต็มไปด้วยแปลงทดลองทางการเกษตร, บ่อน้ำเพาะพันธุ์ปลา, ฟาร์มและคอกเล้าสัตว์ต่างๆ ราวกับบ้านของชาวนาชาวสวน เขาทดลองงานมากมายทั้งเรื่องดิน, น้ำ ไปจนจรดเมฆบนฟ้า เขารู้เรื่องแก้ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินเป็นกรด เขา”แกล้งดิน” เป็นนะ เขาแก้ไขน้ำท่วมในหลายๆพื้นที่ได้นะ พื้นที่ไหนแห้งแล้ง เขารู้วิธีสั่งฟ้าให้หลั่งฝนมาให้นาไร่ได้นะ “ฝนหลวง” นี่ก็เป็นผลงานของเขาและคณะ
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่อภินิหารนะ มันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เขาทำการทดลองและล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง เขาทำมันกับผู้ช่วยของเขาจนช่ำชอง เขาทำมันด้วยหนึ่งสมอง และสองมือของเขานี่แหละ สองมือของเขาที่หยาบด้านอย่างกับชาวนาชาวไร่ อันนี้ผมไม่เคยเห็นหรอกนะ
อดีตเจ้าอาวาสชื่อดัง แถวโคราชที่เคยได้จับมือเขา แล้วเอามาเล่าต่อให้ฟัง
แต่ละปีที่ผ่านไป เขาเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ เขาขยายขอบเขตความสนใจของเขาไปถิ่นที่อยู่ห่างไกล ผมเห็นเขาเดินทางบุกป่าฝ่าดง เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
บางครั้ง ก็เห็นรถจิ๊ปของเขาฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัว
บางครั้ง ก็เห็นเขาดั้นด้นขี่ม้าขี่ลา ข้ามเขาแห้งแล้งสาหัส
บางครั้ง ก็เห็นเขาเดินลุยน้ำ นั่งกับพื้นดินพื้นหญ้า
หลายครั้งผมนึกสงสัย ว่าเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม? ทำแล้วเขาได้อะไร?
คนอย่างเขาไม่ต้องทำงานก็คงพอมีกินมีใช้ไปตลอดอยู่แล้ว.
ผมคิดว่า เขาคงสนุกมากๆ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจนผู้อยู่ห่างไกลความเจริญ และได้เฝ้าดูผลลัพธ์ของแรงงานของตัวเอง
ผมคิดว่าเขาเป็น workaholic คนหนึ่ง ผมเห็นว่าเขาใช้ชีวิตส่วนมากของตัวเองเพื่อชีวิตของผู้อื่น เขาดูตั้งใจมากนะ ตั้งใจที่จะสร้างคุณภาพชีวิตดีๆ ให้กับผู้คนมากมาย…
แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่บ้างานจนไม่สนใจเรื่องสำคัญอื่นๆ ในชีวิตนะ เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีสีสันมากทีเดียว เขามีพรสวรรค์หลายเรื่อง เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เขาวาดภาพสีน้ำมัน และเขาเล่นดนตรีได้ดี ทั้งกีตาร์คลาสสิค เปียโน และแซกโซโฟน ในระดับแต่งเพลงขึ้นมาเองได้ เพลงสไตล์ Waltz ที่ฟังแล้วสร้างบรรยากาศน่ารื่นรมย์นี่คือ สไตล์โปรดของเขาหละ แถมแต่งมา ใครจะเอาไปเปิดก็ไม่เคยเรียกลิขสิทธิ์นะ เปิดฟังกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง…
เรื่องกีฬาก็ใช่ย่อย เขาเล่นแบดมินตันได้ดีมีก๊วนประจำของตัวเอง ตีอยู่หลายปี
ยิ่งแข่งเรือใบนี่เก่งระดับแชมป์ ด้วยเรือใบที่เค้าต่อขึ้นมากับมือเองนี่แหละ ทำเข้าไปได้ยังไงนะ โคตรน่าทึ่ง
เขาเป็นคนรักสัตว์นะ และนั่นทำให้เขาดูเป็นคนอ่อนโยน
เขาเลี้ยงแมวตั้งแต่เด็ก พันธุ์ไทยแท้ วิเชียรมาศ ตัวอ้วนใหญ่หน้าตาน่ารักน่าชัง
เขาตั้งชื่อมันเป็นชื่อเดียวกับวีรบุรุษ ผู้กล้าหาญ และมีความรักชาติอย่างมากคนหนึ่ง ผมคิดว่า เขาคงมีความคิดในเชิงอุดมคติในการใช้ชีวิตอยู่มากนะ ถึงได้ตั้งชื่อแมวของเขาแบบนี้
ตอนช่วงที่เขาอายุมากขึ้น เขาชอบเลี้ยงหมานะ เขาดูมีความสุขที่ได้รุมล้อมไปด้วยฝูงหมาเยอะๆ นะ หมาตัวโปรดของเขานี่เป็นลูกหมาจรจัดแถวพระราม 9 นี่แหละ แต่เขาปล่อยมุกว่ามันเป็นหมาพันธุ์เทศ (บาล) ?
เรื่องรสนิยมการแต่งตัว เขาก็ไม่ใช่ธรรมดา เขาเป็นผู้ชายที่ดูเท่ห์มากทีเดียว
เขามีสไตล์มาตั้งแต่หนุ่มๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาของแบรนด์เนมอะไร
แต่แม้จะมีบุคลิกภาพเท่ห์ขนาดที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังต้องแอบมองด้วยความชื่นชม
เค้าก็เป็นคนรักเดียวใจเดียวนะ เขาไม่เคยมีข่าวในทางเสียหายเรื่องผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาดูจะเป็นคนสมถะมาก ผมประหลาดใจตอนที่รู้ว่า หลังแต่งงานเสร็จ เขาพาภรรยานั่งรถไฟไปฮันนีมูนที่หัวหิน 3 วัน ทำไมมันช่างดูธรรมดาสามัญเสียจริง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเขามักจะดูธรรมดาอย่างน่าฉงน ผมเคยเห็นห้องทำงานของเขา สงสัยว่าห้องเล็กๆ แห่งนี้นะเหรอ ที่ใช้ดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่กว่า 500,000 ตารางกิโลเมตรของไทย มันดูธรรมดาเสียยิ่งกว่าห้องทำงานของชนชั้นกลางทั่วไปเสียอีก กล้องที่ห้อยคอเขาบ่อยๆ ก็รุ่นธรรมดาๆ นี่แหละ มีไว้เพื่อถ่ายรูปมาทำงาน เขาไม่ใช่พวก “สายอุปกรณ์” เลย
วันไหนถ้าไม่ได้ออกงานเป็นทางการอะไร เค้าทิ้งรถประจำตำแหน่งไว้ในโรงรถ แล้วมาขับโตโยต้าโซลูน่า เติมน้ำมันปาล์มซะอย่างนั้น
เขาดูจะไม่เคยปิดบังเลยนะ ว่าเขาเป็นคนที่ให้คุณค่ากับความประหยัดมัธยัสถ์มากๆๆ เหมือนกับที่เค้าไม่เคยปิดบังเลย ว่าเค้าเป็นคนรักแม่มากๆๆ
เขาเห็นแม่ไม่ค่อยร่าเริง ความตรอมตรมของหญิงหม้ายที่สามีและลูกชายคนโตจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม คงยากจะคลี่คลาย เขาเลยตั้งใจจะบวชให้แม่ เขาเล่าว่า เขาดีใจมากที่ได้เห็นแม่กลับมาร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้งในช่วงนั้น ในช่วงที่แม่เขาอายุมากขึ้น ทั้งๆ ที่เขาทำงานหนัก แต่เขาแบ่งเวลาไปทานข้าวกับแม่อาทิตย์ละ 5 วัน ได้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกละอายแก่ใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้…
เขาเป็นห่วงบ้านเมืองมากนะ เขานึกถึงส่วนรวมเสมอๆ และไม่นิยมความรุนแรง
ผมยังจำได้ดีตอน ตอนปี 2535 ที่พลเอก กับพลตรี แย่งกันจะเป็นนายก อย่างเอาเป็นเอาตาย ทะเลาะกันไม่ยอมเลิกหลายสัปดาห์ มีความสูญเสียมากมายในกรุงเทพ สุดท้ายก็เขานี่แหละ ที่เรียกทั้งคู่ไปไกล่เกลี่ย จนสถานการณ์สงบลงได้อย่างเฉียบพลัน
เวลาผ่านพ้นหลายทศวรรษ ถ้านับจากจุดเริ่มต้นที่เขาเข้ามารับตำแหน่งในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ เขาทำได้ดีเหนือความคาดหมายมากมายหนักนะ เขาดำรงตนตามทำนองคลองธรรมได้อย่างเคร่งครัด พัฒนาโครงการได้มากมายหลายพันโครงการ เขาเติบใหญ่เป็นผู้นำทางด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของสังคมอย่างเป็นธรรมชาติ รัฐบาลผลัดเปลี่ยนเวียนไปหลายต่อหลายคณะ สถานการณ์การเมืองระดับโลกก็ช่างเชี่ยวกราก แต่เขาก็ประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้ ยืนหยัดฝ่าฝันผ่านพ้นมาได้อย่างสง่างาม….
เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนะ และเขาใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ได้คุ้มค่าอย่างที่น้อยคนนักบนโลกใบนี้จะทำได้ เขาปกครองบ้านเมืองได้ตามอุดมคติ อย่างที่เขาเคยได้ลั่นสัจจะวาจาไว้เมื่อแรกเข้ามารับตำแหน่ง
ผมเชื่อว่า เวลาคนเราจะเคารพใครคนใดคนหนึ่งได้นั้น โดยพื้นฐานแล้ว มันต้องมาจากการกระทำของเขาที่น่าเคารพเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะยศถาบรรดาศักดิ์ ผมไม่เคยเชื่อในระบบอะไรก็ตาม ที่ไม่ได้คัดเลือกคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งด้วยการประเมินความรู้ความสามารถ แต่สิ่งที่เขาทำตลอด 7 ทศวรรษที่ผ่านมา พิสูจน์ว่าเขาอยู่เหนือพ้นมาตรฐาน และแบบประเมินใดๆ โดยแท้
…วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว ปรกติผมไม่ใช่คนฟูมฟายอะไร และก็รู้อยู่แก่ใจดีว่านี่คือสัจธรรมของโลก แต่ผมก็อดที่จะสะเทือนใจกับการจากไปของเขาไม่ได้…แม่น้ำราวกับจะหยุดไหล….แผ่นดินดูเหมือนจะสะอื้นไห้…เมฆบนฟ้าลอยอ้อยอิ่งหม่นหมอง….จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเราก็รู้สึกกับเขาราวกับญาติผู้ใหญ่คนสนิทคนหนึ่ง…
…ผมเชื่อว่าเรื่องราวของเขา จะถูกจดจำเล่าขานเป็นตำนานไปอีกหลายชั่วอายุคน เหมือนกับบรรพบุรุษบางคนของเขา ในอนาคต หลายคนคงไม่อยากเชื่อว่า บ้านเมืองของเราเคยถูกปกครองโดยผู้ชายคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นเข้ามาสู่จุดนี้ โดยไม่มีความพร้อมใดๆ เลย แต่ก็ก่อร่างสร้างชาติมา ด้วยการอุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยในระยะเวลายาวนาน 70 ปี จนกลายมาเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
ขอน้อมส่งเสด็จ สู่สวรรคาลัย
บุญชัย เทียนวัง
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙