ก่อนจะไป”เข้าเรื่อง”ก็ขอพูดเกริ่นนำก่อนเสียหน่อยนึง หลังจากที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ โพสอะไรยาวๆเป็นสาระมานาน ช่วงนี้บทความจะเริ่มทะยอยนำมาลงบ่อยขึ้นหลังจากนี้เพราะคิดว่าน่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญของประเทศไทยไปแล้ว จึงเรียนมาเพื่อทราบกันนะครับทุกท่าน
หากใครติดตาม ประเด็นการเมืองโลกในช่วงตลอดปีที่ผ่านมาก็จะทราบเรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้พอสมควร นับตั้งแต่การลี้ภัยของชาวชีเรียและชาวมุสลิมในตะวันออกกลางหลายกลุ่มที่ทะยอยทะลัก เข้าสู่ทวีปยุโรปและเอเชียก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า การอพยพ ที่ส่วนใหญ่เป็นการ”ลี้ภัยสงคราม” นั้นส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่กับประเทศมหาอำนาจมากๆ โดยเฉพาะ การทะลักของคนมุสลิมจำนวนมากส่งผลให้ พื้นฐานการดำรงชีพของสังคมยุโรปเกิดความขัดแย้งขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งประเด็นการแย่งงานชาวพื้นเมืองยุโรป,ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากปัญหาผู้ว่างงานจำนวนมาก,ปัญหาเรื่อิงการจำหน่ายสวัสดิการโอบอุ้มผู้ลี้ภัยมากเกินไปในขณะที่รีดภาษีพลเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก อีกทั้งความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและศาสนา .. เช่นประเด็นการออกกฏหมายควบคุม”ฮิญาบ” (การคลุมผ้าของสตรีมุสลิม)ในยุโรป เป็นต้น
ความขัดแย้งเหล่านี้ส่งผลทำให้รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปมีลักษณะ”แข็งตัว” โดยการปฏิเสธผู้ลี้ภัย…กล่าวคือ ประเทศมหาอำนาจอเมริกาและในยุโรปมีลักษณะคล้ายกันคือคล้าย”ต้นมะม่วงที่มีผลเต็มต้น” ที่กำลังโดน “คนนอกประเทศรุมเด็ด” ในขณะที่คนในประเทศซึ่งเป็นผู้ปลูกต้นมะม่วงกลับไม่ไ่ด้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสม …หากปล่อยไว้ “ต้นมะม่วงของประเทศเหล่านี้ก็จะโค่นล้ม”ไปหมด จึงเกิดปรากฏการกีดกันผู้ลี้ภัยโดยทันที
มาตรการที่ออกมากีดกันนั้นก็มีหลายแบบ ตั้งแต่สร้างแพงเมืองไม่ให้ผู้ลี้ภัยเข้า , ออกกฏหมายควบคุมขอบเขตการจ่ายสวัสดิการ และ และรวมไปถึงการแปรรูป”ผู้ลี้ภัย”เป็น”แรงงาน” ซึ่งทั้งหมดนี้ หากไม่ละเอียดรอบคอบในการบริหารก็จะมีความขัดแย้งในความหลากหลายเหล่านี้เรื่อยๆ และกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมปริแตกออกได้เมื่อถึงเวลา
การพยายามทำตัว”เอาหน้า” ด้วยการอุ้มผู้ลี้ภัยโดยไม่มีกำหนดกลับคืนถิ่นกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการพยายามแบ่งแยกดินแดนเพื่อปัดความรับผิดชอบทางการเงินนั้นเอง
การระบายผู้ลี้ภัยไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆด้วยข้ออ้าง ต่างๆนาๆ จึงเกิดขึ้น แต่เนื่องจาก ช่วงก่อนนี้ รัฐบาลส่วนใหญ่ของมหาอำนาจเป็นพรรคแนวคิด”ทุนนิยม-สังคมนิยม” ซึ่งมีฐานเสียงผูกกับ”ชนชั้นแรงงานต่างด้าว”ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลกับ”ผู้ลี้ภัย”โดยตรง จึงทำให้การกีตกัน ผู้ลี้ภัยทำได้โดยยาก ส่งผลให้ ประชาชนส่วนมากในหลายๆประเทศ ตัดสินใจหันไปสนับสนุนแนวคิดแบบ “อนุรักษ์นิยมสายกลาง” หรือ “ชาตินิยม” สังเกตได้จาก การเลือกตั้งในหลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส, ออสเตรีย เป็นต้น ซึ่งมีแนวคิด อนุรักษ์นิยมสายกลาง
“ผู้ลี้ภัย”เป็น”ภัยร้าย”จริงหรือ?
ความจริงที่น่าเศร้าคือ”ผู้ลี้ภัย”ส่วนมาก เป็น”ผู้ลี้ภัยสงคราม”อันมาจากน้ำมือของมหาอำนาจนั้นเอง เนื่องจากนโยบายรุกรานเพื่อผลประโยชน์ยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ประเทศที่ถูกรุกรานการเป็นประเทศล้มสลาย พลเมืองจำนวนมากจึงต้องหนีความลำบากมาอยู่ในพื้นที่สันติ และพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือการหลบซ่อนในพื้นที่มหาอำนาจเสียเอง
“ผู้ลี้ภัย” ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ “ผู้ลี้ภัยสงคราม” จึงเป็นกลุ่มคนที่”น่าสงสาร”แต่ก็มีคนบางกลุ่มใช้ประโยชน์จากความเศร้าเหล่านี้ กลายเป็น”อาวุธทางสังคม”ไปอย่างน่าเศร้า
“จอร์จโซรอส” พ่อมดการเมืองที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทุนนิยม และพรรคการเมืองหลายพรรคทั่วโลก” นั้นทราบดีว่า หลังจาก”ผู้ลี้ภัย”ล้นทะลักเข้าไปอยู่ในทวีปยุโรป จำนวนมากเนื่องจาการความขัดแย้งในตะวันออกกลาง จึงมองเห็นโอกาสในการ”แซะ”ความมั่นคงของประเทศต่างๆ เพื่อให้ เกิดสถานการณ์ที่เอื้อต่อการเมืองทุนนิยมของตนเอง
โดยมีการสนับสนุน เงินทุนให้ “องค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัย” และองค์กรอิสระเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนซึ่งเขาจัดตั้งขึ้นนั้น หันมาใช้ช่องว่างนี้ ในการสนับสนุน “ผู้ลี้ภัย” โดยเฉพาะ “ผู้ลี้ภัยการเมือง” ในการโจมตีบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา อีกทั้ง
มีการสนับสนุนกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงบางแห่งเพื่อสร้างเกิดความเกลียดชังจนเป็นแรงกระเพื่อมทางการเมืองในการกีดกันมุสลิมซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ส่งผลเปิดช่องให้เกิดการก่อการร้ายที่อ้างศาสนาเข้ามาป่วนโดยอ้างความแตกแยกทางศาสนา
ทั้งนี้ความแตกแยกที่เกิดขึ้นนี้จะบั่นทอน เสถียรภาพของรัฐบาลประเทศนั้นๆที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อโซรอสนั้นเอง
“ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเหยืออยู่ดี” ผลมาจาก สื่อมวลชนบางกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนายทุนได้ยุแยงให้เกิดการเกลียดชังในสังคม ส่งผลให้คนพวกนี้จงตกอยู่ในความขัดแย้งในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
ในความคิดของข้าพเจ้า – “พวกเขาน่าสงสาร แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับพวกเขาเข้าประเทศ เพราะมีผู้อยู่เบื้องหลังใช้ความน่่าสงสารแทรกแซงประเทศของอีกฝ่ายอยู่ดี”
หากยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คงไม่พ้นปัญหาผู้ลี้ภัยโรฮิงญา ที่มีประเทศตะวันตกคอยแทรกแซงอยู่…
ยังมีอีกประเด็นที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของนายทุนสามานต์ คือการสนับสนุน”ชนกลุ่มน้อย”ให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนโดยใช้ประชาธิปไตยเครื่องมือ
เราสามารถยกตัวอย่าง กรณีของ กาตาลุญญา-สเปน เป็นต้น ซึ่งในประเด็นนี้ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” และ”นักข่าว-นักแซะ”ในสังกัดนายทุนมีส่วนในการเคลื่อนไหวเหล่านี้มาก
นายทุนสามานต์ จะได้ประโยชน์จากประเทศเกิดใหม่หรือการเกิดความไม่เสถียรภาพของประเทศนั้นๆผ่านการซื้อขายส่วนต่างค่าเงินและหุ้นนั้นเอง เพราะนั้นเขาไมไ่ด้หวังผลจริงว่าฝ่ายใดจะชนะ ชัดเจนนัก ของเพียงเกิดความขัดแย้งอันส่งผลให้ GDPประเทศ ขึ้นหรือร่วงตามที่ตัวเองกำหนดก็สามารถทำกำไรได้ แต่ประเด็นที่แย่กว่านั้นคือการพยายาม เข้าไปควบคุมรัฐบาลประเทศต่างๆด้วยคนของตัวเอง นั้นเอง
เพราะฉะนั้นแล้วกลไกการเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ยังคงเปิดโอกาสให้โซรอสเข้าแทรกแซงอยุ่ตลอดนั้นเอง ประชาชนชาตินั้นๆ ยากที่จะรู้ว่าพรรคใด คนใด ที่โซรอส เลี้ยงไว้ใช้งานอยู่นั้นเอง
ในกรณีของประเทศไทย เคยเจอกับกรณีเหล่านี้หรือไม่?
ฝ่ายทุนสามานต์ได้ สนับสนุนทุนให้กับฝ่ายใดฝ่ายนึงในการสร้างความแตกแยกมาโดยตลอด
นับว่าโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย คือประเทศไทยได้รับผลจาการแทรกแซงของทุนนิยมสามานต์มาแล้วตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2540 เราผ่านกลยุทธที่ทุนสามานต์ใช้เคลื่อนไหวกดดันประเทศไทยเกือบมาทุกมุขแล้ว และหลายๆครั้งก็โดนก่อนชาติตะวันตก เช่นปัญหาผู้ลี้ภัย การแบ่งแยกดินแดนทั้งสันติวิธีและใช้ความรุนแรง, สงครามเสื้อสี, สงครามระหว่างชนชั้นลัทธิ, การก่อการร้ายจากปัญหาทางศาสนา, รวมไปถึงสงครามที่มีเจตนาเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ก็รอดพ้นมาโดยตลอด
“เรารอดพ้นวิกฤติเพราะในหลวง ร.๙”
เรื่องนี้ขอใช้ภาษาง่ายๆในการอธิบายครับว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความรู้และมีความเข้มแข็งและเข้าใจในความหลากหลายอันเป็นองค์ประกอบของความเป็นชนชาติไทยได้เป็นอย่างดี การบริหารประเทศที่มุ่งเน้นในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสโดยไม่เกี่ยวศาสนาชาติพันธ์และยังเอื้อไปสู่เพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา กลายเป็นเกราะที่เข้มแข็งของประเทศไทย ที่ทำให้ประเด็นความขัดแย้งด้าน ศาสนา , ชนกลุ่มน้อย, ความเลื่อมล้ำทางเพศและชนชั้น ซึ่งทั้งหมดมีความเหลื่อมล้ำน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศ จนทำให้ นักเสี้ยมจากต่างแดนยากที่ จะเสี้ยมให้คนไทย เพราะ สถาบันเบื้องสูงทรงป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน
ในหลวงทรงสร้างทฤษฎี “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งวิธีนี้ เป็นการสนับสนุนให้สังคมไทยสนับสนุนคนไทยด้วยกันทางเศรษฐกิจในสังคมโดยไม่ฟุ่มเฟื่อยและแข่งขันกันเกินงาม และเป็นการสนับสนุนให้คนไทยสามารถยืนด้วยขาของตัวเอง อยากได้อยากมีอะไรก็สร้างด้วยตนเอง ไม่ต้องไปจ่ายแพงๆเพื่อซื้อของจากต่างประเทศที่มูลค่าสูงเกินความจำเป็น
แม้ว่า”โลกภายนอก”จะมีความเชื่อแบบผิดๆว่า ประเทศไทยเราเป็น”ประเทศล้าหลัง”เพราะเราไม่ค่อยจะมีความเจริญทางวัตถุก็ตาม แต่นั้นก็เพราะเขาต้องการยัดเยียดให้คนไทยซื้อวิทยาการฝรั่งแบบใหม่ๆที่มีมูลค่าสูงเกินความจำเป็นทุกๆปี
วัฒนธรรมสังคมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ บวกกับการคลังที่เข้มแข็งและการปกครองที่อบอุ่นไม่เลือกปฎิบัติ ทำให้ประเทศไทย เป็นอิจฉาของประเทศทุนนิยมโดยมาก เพราะทุกคนอยู่ได้ด้วยการเกือกูลกันมากกว่าเอาเปรียบกัน
และการที่ประเทศไทยสามารถยืนได้ด้วยตัวเองนั้นส่งผลทำให้ ทุนนิยมทำกำไรจากประเทศไทยได้น้อยลงนั้นเอง
อีกทั้งพระบารมีของในหลวงในการเจริญสัมพันธไมตรี กับมิตรประเทศต่างๆก็ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศของเรานี้เป็น ต้นมะม่วงที่ไร้ผล ไร้โทษ ไร้ผลประโยชน์ อันเป็นบ่อเกิดของกิเลส ส่งผลให้เกิดสงครามและการโค่นล้มเหมือนที่ปรากฏในหลากหลายประเทศทั่วโลก
ซึ่งถือเป็นตัวอย่าง “ชาตินิยม”ชั้นดี อันเป็นต้นแบบให้ ชาติจำนวนมากอยากเดินตามประเทศไทย เพราะเป็น”ชาตินิยม” ที่เมตตาต่อเพื่อนบ้าน เป็นชาตินิยมที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่นและยังช่วยเหลือให้พัฒนาไปด้วยกัน
แม้ประเทศไทยอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง อย่างเช่น ปัญหาข้อตกลงทางสังคม, ความอ่อนแอของศีลธรรมของผู้คนบางกลุ่มอันเกิดการเอาเปรียบในสังคมและการบังคับใช้กฏหมายที่ไปไม่ถึงผู้ที่ตั้งตนเป็นกฎหมู่ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ยังไม่ใช่ในระดับที่ทำให้แตกแยก เพียงแต่ปัญหาต่างๆต้องถูกนำมาประสานให้เข้าใจในสังคมในขณะที่ภาคประชาชนก็ต้องมีวินัยและสามัคคี และต้องปฎิเสธการคอรัปชั่น ไม่เห็นแก่เงินไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ ร่วมกันรักษาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็จะผ่านพ้นปัญหาไปได้
ปล ส่วนจะมีพวก “ผู้ลี้ภัยการเมือง” และพวก “ผู้ลี้ภัยนิยม” บางคนออกมาเห่าหอนบ้าง นั้นก็ไม่แปลกครับ เป็นเรื่องของคนขี้อิจฉา