การสร้างพลังอำนาจของชาติทางทหารในยุคปัจจุบันให้สอดรับกับการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงของชาติไม่ใช่มีเพียงแต่การสะสมยุทโธปกรณ์และกำลังพลที่บรรจุเต็มอัตราเท่านั้น ทั้งนี้เพราะประเทศของเรายังประสบข้อจำกัดจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างพลังอำนาจของชาติทางทหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงสถานการณ์รอบประเทศทั้งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในภูมิภาค ฐานะทางเศรษฐกิจและที่สำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ข้อจำกัดด้านงบประมาณนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ หนทางปฏิบัติที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในการดำเนินกิจการทางทหารและการรักษาความมั่นคงของชาติภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ ก็คือ
ประการแรก การจัดกำลังกองทัพประจำการไว้ส่วนหนึ่งในอัตราที่พอเพียงแก่การป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงแห่งชาติพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง และปกป้องฐานะเศรษฐกิจของประเทศ
ประการที่สอง จัดเตรียมกำลังสำรองไว้เพื่อให้มีความพร้อมที่จะใช้ทดแทนกำลังที่สูญเสียจากการปฏิบัติราชการ การผลัดเปลี่ยนกำลังในยามวิกฤตหรือยามสงคราม และขยายกำลังกองทัพประจำการให้ได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดความจำเป็นต่อการรักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติ
จึงกล่าวได้ว่า การสร้างพลังอำนาจทางทหารด้วยการจัดกำลังกองทัพในลักษณะผสมผสานระหว่างกำลังรบหลักกับกำลังสำรอง จึงเป็นการวางแผนดำเนินการที่มีความเหมาะสมตามแนวทางปฏิบัติการรบและยึดถือหลักการประหยัดงบประมาณ ซึ่งสามารถดำเนินการตั้งแต่ยามปกติและพัฒนาขีดความสามารถ
๑. หน้าที่ควรกระทำให้เป็นประโยชน์ในเวลาสงคราม
๑.๑ รักษาบ้านเมืองซึ่งอยู่หน้าศึกซึ่งไม่มีทหารรักษา
๑.๒ ปะทะต้านทาน หน่วงเหนี่ยวข้าศึกไว้เพื่อให้กองทหารยกไปทัน
๑.๓ รักษาด่านและขัดตาทัพในที่บางแห่งช่วยกองทหารไม่ให้ต้องแยกกองย่อยทำให้เปลืองกำลังเปล่าๆ
๑.๔ รักษาการติดต่อ บรรเทาภารกิจของกองทหาร
๑.๕ ช่วยลาดตระเวนสืบข่าว
ไปจนถึงยามสงคราม ที่ไม่ก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองงบประมาณจนเกินความจำเป็น ตลอดจน เป็นหลักนิยมในการบริหารจัดการกำลังพลของกองทัพโดยทั่วไป รวมถึง กองทัพไทยในปัจจุบันด้วย
หากพิจารณาถึงความหมายของคำว่ากำลังสำรอง ในปัจจุบันได้มีการบัญญัติความหมายของกำลังสำรองไว้คือ กำลังที่มิใช่กำลังประจำการเตรียมไว้สำหรับใช้ในยามสงครามยามประกาศกฎอัยการศึก ยามประกาศภาวะฉุกเฉินหรือในยามปฏิบัติการใช้กำลังทหารขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องคุ้มครองรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติเพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอย่างชัดเจนที่จะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการปลูกฝังให้พสกนิกรมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนในการช่วยทหารป้องกันภัยอันอาจเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ โดยมีความตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ราษฎรเมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช๒๔๕๓ ดังนี้
“…การตั้งกองเสือป่าขึ้นด้วยความมุ่งหมายจะให้คนไทยทั่วกันรู้สึกว่า ความจงรักภักดีต่อผู้ดำรงรัฐสีมาอาณาจักร โดยต้องตามมติธรรมประเพณีประการหนึ่ง ความรักชาติบ้านเมืองและนับถือศาสนาประการหนึ่ง ความสามัคคีในคณะและไม่ทำลายซึ่งกันและกัน…”
ดังนั้น ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๕๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองเสือป่าขึ้นโดยได้เริ่มประกาศและชักชวนให้มีการจัดตั้งกองอาสาสมัครเสือป่า โดยมีจุดประสงค์ที่จะมุ่งอบรมจิตใจให้คนไทยโดยเฉพาะข้าราชการพลเรือน รู้จักรักชาติ มีมนุษยธรรม มีความเสียสละ สามัคคี และมีความกตัญญูกตเวทีต่อประเทศชาติบ้านเมืองต่อมา ในวันที่ ๖พฤษภาคม ๒๔๕๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯให้ตั้งกองพลสมัครขึ้นกองพลหนึ่ง ให้ชื่อว่า“กองเสือป่า” และมีการประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาครั้งแรกของเสือป่าในวันเดียวกันนั้น ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามราชวรมหาวิหาร จึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการเสือป่าหรือกิจการกำลังสำรองในประเทศ ทั้งนี้ เสือป่า คือ ผู้ชายไทยที่มิได้เป็นทหารแต่ได้รับการฝึกให้รู้จักวิธีการรบเพื่อจะได้สามารถป้องกันชาติบ้านเมืองในยามที่ประสบภัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกำหนดหน้าที่ของเสือป่าไว้กล่าวคือ
๒. รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน
๒.๑ ช่วยเจ้าหน้าที่รักษาความสงบทั่วไป
๒.๒ ช่วยเหลือเวลาเกิดเพลิงไหม้
๒.๓ ล้อมวังรักษาพระองค์
๒.๔ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ทั้งนี้ ทรงมีพระราชดำรัสในการขนานนามของหน่วยเสือป่า โดยทรงอ้างอิงจากแนวทางการป้องกันประเทศและแนวทางทางทหารในสมัยโบราณ กล่าวคือ
“เป็นชื่อเก่าที่มีปรากฏได้ใช้มาในเมืองเราแต่โบราณกาล มีทหารโบราณจำพวกหนึ่ง เรียกว่า เสือป่า คู่กับ แมวเซาหรือแมวมอง ตรงกับที่ในกองทัพบกทุกวันนี้เรียกว่า“ผู้สอดแนม” หรือเรียกตามภาษาอังกฤษว่า“สเค๊าท” (scott) ส่วนแมวเซาหรือแมวมองนั้น เรียกว่า “กองระวังด่าน” หรือเรียกตามภาษาอังกฤษว่า “เอ๊าตโป๊สต์” (outpost)…”
นอกจากนี้ ยังทรงมีพระราชปรารภในการจัดตั้งกองเสือป่าขึ้น ที่มีการบันทึกความบางตอนไว้ใน จดหมายเหตุเสือป่า พุทธศักราช๒๔๕๔ กล่าวคือ
“…มีพลเรือนบางคนที่เป็นข้าราชการและที่มิได้เป็นข้าราชการ มีความปรารถนาจะได้รับความฝึกหัดอย่างทหาร แต่ยังมิได้มีโอกาสฝึกหัด เพราะติดหน้าที่ราชการเสียบ้าง หรือเพราะติดธุระอย่างอื่นเสียบ้าง การฝึกเป็นทหารนั้นย่อมมีคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองอยู่หลายอย่างที่เป็นข้อใหญ่ข้อสำคัญก็คือกระทำให้บุคคลซึ่งได้รับความฝึกฝนเช่นนั้นเป็นราษฎรดีขึ้น กล่าวคือ ทำให้กำลังกายและความคิดแก่กล้าในทางที่เป็นประโยชน์ ด้วยเป็นธรรมดาของคน ถ้าไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดบังคับให้ใช้กำลัง และความคิดของตนแล้วก็มักจะกลายเป็นคนอ่อนแอไป
อีกประการหนึ่ง การฝึกหัดเป็นทหารนั้นทำให้คนรู้วินัย คือฝึกหัดตนให้อยู่ในบังคับบัญชาของผู้ที่เป็นหัวหน้าฤานายเหนือตน ซึ่งนำประโยชน์มาให้แก่ตนเป็นอันมาก เพราะว่าถ้ารู้จักเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาดี ต่อไปก็จะเป็นคนบังคับบัญชาคนได้ดี จะเป็นนายที่รู้จักน้ำใจผู้น้อย ทั้งเป็นทางสั่งสอนอย่างหนึ่งให้คนมีความยำเกรง ตั้งอยู่ในพระราชกำหนดกฎหมายของประเทศบ้านเมือง ทั้งจะปลุกใจคนให้มีความรู้สึกรักพระเจ้าแผ่นดิน ชาติและศาสนา จนยอมสละชีวิตถวายพระเจ้าแผ่นดินฤาเพื่อป้องกันรักษาชาติศาสนาของตนได้…”
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยของพระองค์ ได้ประสบเหตุการณ์ที่สำคัญของโลกเหตุการณ์หนึ่ง คือ สงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีการจัดหน่วยเสือป่าขึ้นใหม่ เป็นจำนวน ๒ กอง ประกอบด้วยกองเสือป่าหลวง (หรือกองเสือป่ารักษาพระองค์) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “กองเสนาหลวงรักษาพระองค์” และ กองเสือป่ารักษาดินแดน โดยมีการจัดหน่วยด้วยการแบ่งออกเป็น ๔ ภาค กำหนดหน้าที่รักษาดินแดนในแต่ละกลุ่มจังหวัด จึงเป็นต้นแบบของตำรวจตระเวนชายแดนในเวลาต่อมา ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน๒๔๖๘ กิจการเสือป่าจึงได้ยุติลงชั่วคราว แต่หากพิจารณาแล้ว จะพบว่าหน้าที่ของเสือป่าคือ ภารกิจของชาวไทยตามพระราชประสงค์ที่จะฝึกอบรมพลเมืองไทยให้มีความรู้ความเข้าใจวิธีการรักษา ป้องกันประเทศชาติ บ้านเมือง พร้อมกับตระหนักรู้และมีความเข้าใจในหน้าที่กับบทบาทของแต่ละคนว่า ควรทำ อะไรอย่างไร ในเหตุการณ์ใดบ้าง
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดหน้าที่ในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ เพื่อช่วยป้องกันรักษาชาติบ้านเมืองได้ทันเวลา ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าว ประเทศของเราต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะความทรงจำต่อกรณี วิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ที่ยังคงเป็นบาดแผลอันใหญ่หลวงในจิตใจของประชาชนทุกคน ดังนั้น แนวพระราชดำริการตั้งกองเสือป่าที่จัดได้ว่าเป็นการจัดตั้งกองอาสารักษาดินแดนหรือกองกำลังอาสาสมัครฝ่ายพลเรือน จึงเป็นแนวทางที่จะช่วยลดช่องว่างทางการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกิจการเสือป่ากระจายออกไปทั่วประเทศ ก็จะทำให้มีกองกำลังนักรบประชาชนที่ผันกายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งยังมีความชำนิชำนาญในท้องถิ่นที่ตนเองประจำการอยู่ จึงเป็นการป้องปรามและป้องกันภัยร้ายข้าศึกในทุกพื้นที่ของประเทศอย่างดียิ่ง และถือเป็นต้นแบบแห่งกำลังสำรองของประเทศไทย
ต่อมา ในยุคภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งเป็นห้วงแห่งการเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องมีกำลังสำรองไว้สำหรับการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงของชาติจึงเกิดแนวความคิดที่จะสร้างอนุชนรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพในด้านการปฏิบัติการทางทหาร โดยการฝึกฝนทักษะทางทหาร พัฒนาจิตใจให้มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ สำนึกในหน้าที่สำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาด้านความมั่นคงอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด กอปรกับพึงต้องมีการเตรียมพลเพื่อขยายกำลังรบในยามสงคราม จึงมีการดำเนินกิจการของยุวชนทหารขึ้น และในที่สุดก็เลิกร้างไปภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒
ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ กระทรวงกลาโหมได้ตระหนักถึงความจำเป็นในด้านการเตรียมกำลังสำรองของประเทศที่ยังคงต้องมีอยู่เพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ความมั่นคง จึงได้มีการตรา พระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๙๑ จัดตั้งกรมการรักษาดินแดน โดยให้เป็นหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อทำการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร สำหรับเป็นกำลังสำรองในการทดแทนยุวชนทหารตามแนวคิดที่จะให้มีการฝึกวิชาทหารให้แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการเตรียมการด้านกำลังพลสำหรับสงครามในอนาคต โดยเริ่มต้นฝึกผู้ที่จะมาเป็นผู้บัญชาการก่อน หลังจากนั้น ก็จะทำการแยกย้ายฝึกพลเมืองต่อไป จึงเกิดเป็นกิจการนักศึกษาวิชาทหารเป็นครั้งแรก โดยมีที่ตั้งหน่วยครั้งแรกอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ท่าพระจันทร์ ซึ่งต่อมา ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๘ ได้ย้ายที่ตั้งหน่วยมายังพื้นที่มายังบริเวณสวนเจ้าเชตุ บริเวณตรงข้ามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เลขที่ ๒ ถนนเจริญกรุง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยในปัจจุบันและได้ดำเนินกิจการเรื่อยมาตราบจนปัจจุบัน โดยที่กิจการนักศึกษาวิชาทหารได้มีการพัฒนาตามลำดับ และมีเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษาสมัครเข้ารับการฝึกศึกษาหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหารอย่างต่อเนื่องมาตราบจนปัจจุบัน
กิจการกำลังสำรองจึงเป็นกิจการที่เริ่มต้นจากแนวพระราชดำริพระราชทานขององค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือ องค์สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ที่ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันยาวไกล ในการสร้างขุมกำลังสำคัญของประเทศโดยประชาชนที่มีความชัดเจนมากที่สุด ทั้งยัง จะเป็นทรัพยากรสำคัญในการช่วยเหลือและทดแทนกำลังทหารเพื่อการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงของชาติตั้งแต่ยามปกติ ดังนั้น ในวันที่ ๒๕พฤศจิกายน ที่กำลังจะเวียนมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้เขียนจึงใคร่ขอเรียนเชิญทุกท่านได้กรุณาร่วมกันน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อประเทศชาติและปวงชนชาวไทยโดยพร้อมเพรียงกัน
จุดเริ่มต้นของ ลูกเสือไทย
ลูกเสือกองแรกของไทยก่อตั้งขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเรียก เรียกว่า ”ลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ 1″ ก่อนที่จะขยายตัวไปจัดตั้งตามโรงเรียน และสถานที่ต่าง ๆ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานคติพจน์ เพื่อให้เด็กที่จะเข้าประจำการในกองลูกเสือได้ปฏิญาณตนว่า ”เสียชีพอย่าเสียสัตย์”ในสมัยนั้นกิจการลูกเสือไทยเลื่องลือไปยังนานาชาติว่า ”พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงใฝ่พระทัยในกิจการลูกเสือเป็นอย่างยิ่ง” ถึงกับทำให้กองลูกเสือที่ 8 ของประเทศอังกฤษ ได้มีหนังสือขอพระราชทานนามนามลูกเสือกองนี้ว่า ”กองลูกเสือในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม”
ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ตามความประสงค์ และลูกเสือกองนี้ได้ติดเครื่องหมายช้างเผือกที่แขนเสื้อทั้งสองข้าง และยังปรากฏอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้หลังจากทรงสถาปนากิจการลูกเสือขึ้นมาแล้ว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราข้อบังคับลักษณะการปกครองลูกเสือ และตั้งสภากรรมการจัดการลูกเสือแห่งชาติขึ้นโดยพระองค์ ทรงดำรงตำแหน่งสภานายก ต่อมาทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปยังจังหวัดใดก็ตามก็จะทรงโปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธีเข้าประจำกองลูกเสือประจำจังหวัดนั้น ๆ ให้ด้วยและหลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก็ได้ทรงฟื้นฟูกิจการลูกเสืออีกครั้ง โดยในปี พ.ศ.2470 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้มีการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในบริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์และจัดให้อบรมลูกเสือหลายรุ่น กระทั่งรุ่นสุดท้ายในปี พ.ศ.2475 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น กิจการลูกเสือจึงได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยรัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยยุวชนทหาร และรับเด็กที่เคยเป็นลูกเสือมาแล้ว มาฝึกวิชาทหาร ส่วนกิจการลูกเสือก็ขยายให้กว้างขวางขึ้น โดยมีการจัดตั้งกองลูกเสือเหล่าเสนาและลูกเสือเหล่าสมุทรเสนาขึ้น เพื่อฝึกร่วมกับยุวชนทหาร ทำให้กิจการลูกเสือซบเซาลงบ้างในยุคนี้
ในปี พ.ศ.2490 กิจการลูกเสือกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากทางราชการได้จัดชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ และส่งเจ้าหน้าที่ในกองลูกเสือไปรับการฝึกอบรมวิชาลูกเสือตามมาตรฐานสากล และตามแบบนานาประเทศ กระทั่งมีมีพระราชบัญญัติลูกเสือบังคับใช้ โดยคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติเป็นผู้บริหารวัตถุประสงค์ของขบวนการลูกเสือได้รับการปรับปรุงและเน้นให้เห็นชัดเจนรัดกุม ยิ่งขึ้น มีความว่า“คณะลูกเสือแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาลูกเสือทั้งทางกาย สติปัญญา จิตใจ และศีลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อความสุขและความมั่นคงของประเทศชาติ” การกำหนดวันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติเพื่อเป็นการระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงก่อตั้งกิจการลูกเสือไทยให้พัฒนารุ่งเรือง มาจวบจนทุกวันนี้ ทางราชการจึงกำหนดให้ทุกวันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ” หรือ “วันลูกเสือ”โดยในวันนี้บรรดาลูกเสือไทยจะจัดกิจกรรมที่เป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน รวมทั้งนำพวงมาลาไปถวายบังคมที่พระบรมรูปฯ สถานพระบรมราชานุสรณ์ และจัดให้มีการสวนสนามในโรงเรียน หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น ณ สนามศุภชลาศัย หรือสนามกีฬาแห่งชาติ ที่ทุก ๆ ปี จะมีเหล่าลูกเสือจำนวนกว่าหมื่นคนมาร่วมเดินสวนสนาม เพื่อแสดงความเคารพ และกล่าวทบทวนคำปฏิญาณต่อองค์พระประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติ เพื่อประกาศความเป็นลูกเสืออย่างแท้จริง