เกษม อัชฌาสัย
คนต่างชาติที่เคยไปอยู่อเมริกา ถ้าใครไม่เคยถูกหยามเหยียดเลยสักครั้ง นับว่าโชคดี
อย่างผู้เขียนนั้นโชคไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับโชคร้ายนัก เคยถูกเจ้าของ “กิฟท์ ช็อป” ชาวยิวอเมริกันขับออกจากร้านในมหานครนิวยอร์ก เหมือนไล่หมา โดยไม่มีเหตุผล
ถูกกลุ่มวัยรุ่นผิวดำไล่กระทืบ (โกยหนีทัน) ที่ “ดีทรอยต์” เพราะบังเอิญไปจ้องหน้าพวกเขา (ก็ส่งเจี๊ยวจ๊าวทำไม)
ถูกพนักงานร้านอาหารคนขาวในเมือง “มอนต์กอมเมอรี” รัฐ “อาลบามา” ไม่ต้อนรับ อ้างว่าอาหารหมด แต่พอ “คนขาว” เข้าไป กลับกุลีกุจอ หาที่ให้นั่ง
แต่ละครั้งรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว แม้ไม่เคยถูกทำร้ายร่างกาย แต่ไม่นำมาคิดคับแค้นอะไรเพราะรู้ว่าไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศนี้ตลอดชีวิต คือมาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา ด้วยมีพรรคพวกเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ทั้งผิวขาว-ผิวดำที่ติดต่อกันอยู่ มีความสนิทชิดเชื้อและเคารพนับถือ
แต่คนอเมริกันในวันนี้ ไม่เพียงเกลียดชังคนต่างชาติสีที่ผิดแผกเท่านั้น ยังพลอยเกลียดชังคนอเมริกันด้วยกัน ถึงขั้นยกพวกเข้าปะทะ นับตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมพ์” หาเสียงด้วยการปลุกระดมความเกลียดชังต่อผู้อพยพอย่างชัดเจน เน้นการต่อต้านมุสลิมจากชาติในตะวันออกกลาง จากนั้นก็ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดี
ชาวอเมริกันกลุ่ม “คลั่งชาติ” ก็เลยเหิมเกริมกันหนัก ไม่ยอมเลิกต่อต้านชาวอเมริกันด้วยกัน ที่อพยพเข้าไปจากชาติอื่นๆ รวมทั้งต้านพวกต่างศาสนา รวมทั้งพวกสีผิว หรือ “คนดำ” ที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม นับแต่สหรัฐซื้อทาสชาวอัฟริกันกลุ่มแรกมาทำงานในไร่ฝ้าย ไปขึ้นฝั่งที่เมือง “เจมส์ทาวน์” ในรัฐเวอร์จิเนีย ปี ค.ศ.๑๖๑๙ โน่น
กรณีเผชิญหน้าครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมือง “ชาร์ล็อตส์วิล” มลรัฐเวอร์จิเนีย เมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ ๑๑ สิงหาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ในชื่อกลุ่มว่า “สามัคคีและสิทธิ” จำนวนหลายร้อยคนพากันเดินขบวนเข้าไป ในเขตมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียตะโกนถ้อยคำต่างๆ เช่นว่า “ชีวิตคนขาวเท่านั้นที่สำคัญ”
ตะโกนถ้อยคำที่ว่า “เลือดและแผ่นดิน” สะท้อนความหวงแหนในชาติ ว่าเป็นของพวกเขาเท่านั้น ที่ต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อ จนกว่าจะได้มาซึ่งแผ่นดินสหรัฐอเมริกา (ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง)
วันรุ่งขึ้น ก็ได้เกิดความรุนแรงขึ้น มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มต่อต้าน (ส่วนหนึ่งเป็นนักศึกษา) การชุมนุมของกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” และมีชายคนหนึ่งขับรถยนต์นั่งวิ่งตะลุยใส่กลุ่มต่อต้าน ทำให้มีสตรีเสียชีวิตคนหนึ่ง บาดเจ็บ ๓๕ ราย คนร้ายพยายามขับรถหนี แต่ถูกจับได้ในที่สุด แล้วถูกดำนินคดีฐานฆ่า
ก่อนหน้านั้น เฮลิคอปเตอร์ตรวจการลำหนึ่งตกขณะบินปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่เสียชีวิตสองนาย
การชุมนุมของต่อต้าน “กลุ่มผิวขาวสุดโต่ง” ยังเกิดขึ้นติดตามมาอีกในหลายเมืองของสหรัฐในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคมและในทุกๆ ที่ ก็มีกลุ่มชาวบ้านที่รักความเป็นธรรมและกลุ่มที่ตกเป็นเป้าหมายลุกขึ้นต่อต้านและมีการปะทะกัน จนในที่สุด ตำรวจต้องเข้าแยกทัพโดยใช้ “สเปรย์พริกไทย” ขับไล่และมีการจับกุมเกิดขึ้น
ว่ากันว่า ถ้าหาก “กลุ่มผิวขาวสุดโต่ง” ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด การกระทบกระทั่งก็ยังจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ และจะบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น เหตุการณ์ก็ยิ่งยากที่จะยุติ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การแตกสามัคคีได้ค่อยๆ หยั่งรากลึกลงไปในสังคมอเมริกันโดยรวม ในสภาวะที่ค่อนข้างจะน่ากลัว
อาการแสดงออกซึ่งความคับแค้นต่อต้านระหว่างกัน ก็จะทวีเพิ่มขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการแบ่งแยกภายในชาติเพราะมาบัดนี้บางรัฐคิดแยกตัวเองออกมาปกครองเป็นเอกเทศจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย
ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมพ์” เอง ก็กังวลใจต่อเหตุที่เกิดขึ้น เขาแถลงหลังเกิดเหตุร้ายไม่กี่ชั่วโมงประณามทุกฝ่ายที่ก่อเหตุรุนแรงขึ้นมา แต่บรรดานักการเมืองดังๆ ของสหรัฐก็เห็นว่า “ทรัมพ์” กระทำไม่ถูกต้องเพียงพอ ดูจะเอนเอียงเข้าข้างการกระทำของพวกปิศาจ “ผิวขาวสุดโต่ง” และเป็น “การก่อการร้ายท้องถิ่น” ซึ่งจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ พึงพิจาณาดู เพราะแม้แต่ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย “เทอรรี แม็ดออลีฟ” เองก็กล่าวหาเช่นนั้น
รู้กันทั่วไปว่า ตัวตั้งตัวตีในการจัดชุมนุม “ผิวขาวสุดโต่ง” ใน “ชาร์ลอตส์วิล” ก็คือ “เจสัน เคสเลอร์”นักสื่อสารมวลชนและนักประพันธ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเขาคือตัวการ “มือเปื้อนเลือด” และที่น่าสนใจก็คือ เขาคือศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก “ยูเนสโก” ฐานเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่สวยงามสามารถเก็บรักษาสภาพไว้ได้เป็นอย่างดี มาจนทุกวันนี้
กลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” นั้นเป็นใคร
“ผิวขาวสุดโต่ง” มาจากคำว่า White supremacy หรือ White supremacism โดยมีความเชื่อว่า “คนขาว” เท่านั้นที่มีความ “เหนือชั้นกว่า” ทุกเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในโลก คำๆ นี้มีรากศัพท์มาจาก scientific racism หรือ “การแบ่งแยกผิวในเชิงวิทยาศาสตร์” เหมือนๆ กับขบวนการอื่นๆ เช่น “นาซีใหม่” (neo-Nazism) และพวก “ผิวขาวสุดโต่ง” ซึ่งส่วนใหญ่ จะต่อต้าน “พวกสีผิว” และคนในศาสนาอื่น
ในสหรัฐอเมริกา มีขบวนการต่อต้านคนสีผิวและคนต่างศาสนามานานแล้ว คือมีมาก่อนเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เสียอีก
กลุ่มซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ก็คือ กลุ่ม “คู คลัก แคน” หรือ “เค เค เค” ซึ่งคอยทำหน้าที่ขจัด “คนดำ” ที่แข็งข้อด้วยวิธีการผิดกฎหมายถึงขั้นฆ่าและเผา และมีมาแต่ปี ๑๘๖๕
ปัจจุบันกลุ่มนี้อยู่ในยุคที่ ๓ (ของ “เค เค เค”) ซึ่งเริ่มยุคมาตั้งแต่ปี ๑๙๔๖ หลังผู้เขียนเกิดสองปีและก็มีมาจนทุกวันนี้ โดยมีสมาชิกอยู่ระหว่าง ๕,๐๐๐-๘,๐๐๐ คน กลุ่ม “เค เค เค มีบทบาทชัดเจนต่อต้าน “คนดำ” ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่า ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วยหรือไม่ แต่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน เช่นจุดคบเพลิงในการชุมนุมในยามค่ำคืนเพื่อแสดงอาการต่อต้านเป้าหมาย
ไม่ว่าจะมีกลุ่ม “เค เค เค” หรือ “นีโอ นาซี” ร่วมด้วยหรือไม่ แต่เหตุการณ์หลังสุด กลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ก็ใช้ความตายมาคุกคามเป้าหมายแล้วและก็ถูกคนทั้งชาติ รวมทั้งสื่อมวลชนประณามกันไปทั่ว
สะท้อนความแตกแยกและคงความเกลียดชังในสังคมอเมริกันในลักษณะ “ตอกลิ่ม” ให้ร้าวฉานลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ได้ผู้นำไร้คุณธรรม ไร้ความถูกต้องและชอบธรรม ดังเช่นที่เป็นอยู่ รวมทั้งการพูดจาเหลาะแหละ คือวันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง จนกำลังถูกสอบสวนจากหน่วยงานรัฐและสภาว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติหรือ
หากพลาดพลั้งไปมากกว่านี้ คือหลักฐานมีน้ำหนักผูกมัดหนาแน่น เขาก็อาจถูกดึงไปสู่การตั้งข้อหาเอาผิดเพื่อถอดถอน ออกจากตำแหน่งโดยสภาผู้แทนราษฎรได้ ในกรณีปล่อยให้รัสเซียเข้าแทรกแซงการเมืองในประเทศ
เมื่อถึงขั้นนั้น สหรัฐอเมริกาก็คงจะวุ่นวายต่อไปอีก หาความสงบสุขได้ยาก เข้าหลักที่ว่า
“ชาติใดไร้รักสมัครสมาน
จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้ชาติย่อยยับอับจน
บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร”
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖)