ถามไปใน “เฟซบุ๊ค” ก่อนหน้านี้ว่า ทำไมมุสลิมทั่วโลก ต่อต้าน “โดนัลด์ ทรัมพ์” เสนอให้ “เยรูซาเลม” (หรือ อัล กุดส์) เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ก็ได้คำตอบสรุปว่า เพราะในเขตเมืองเก่าของเมืองนี้ มีศาสนถานที่สำคัญมากของอิสลามตั้งอยู่ คือมัศยิดอัลอักซอ ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา ก็เพียงมัสยิดหะรอมในนคร “มักกะห์” (เม็กกะ) และมัศยิดอัลนะบะวีย์ที่นครมะห์ดีนะ” (เมดินา) เท่านั้น
ที่ผ่านมาในอดีต “เยรูซาเลม” ถูกแย่งชิงกลับไปกลับมาหลายหน ระหว่างคริสต์ อิสลามและยูดาย โดยต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์
แต่ปัจจุบัน “เยรูซาเลม” ในแง่กฎหมาย ดำรงสถานะเป็น “เมืองสากล” ใครๆ (ผู้ที่นับถือศาสนายูดาย-คริสต์-อิสลาม) ก็เข้าไปทำกิจกรรมทางศาสนาได้ ตามข้อตกลงสันติภาพหรือที่เรียกกันว่า Peace process ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล (ซึ่งมีคริสต์สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง)
ในเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมพ์” ประกาศว่า สหรัฐจะรับรอง “เยรูซาเลม” ให้เป็นเมืองหลวงถาวรของอิสราเอล(ซึ่งนับถือศาสนายูดาย) เพื่อรักษาคำมั่นสัญญาไว้ในตอนที่รณรงค์หาเสียงไว้แก่ชาวอเมริกันที่นับถือศาสนายูดาย โดยหันหลังให้ ต่อนโยบายเดิม ซึ่งสหรัฐทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยไว้ก่อนหน้า ที่มุ่งให้ความเป็นธรรมแก่สองฝ่าย
แต่กลับพูดว่า “ถ้าไม่รับรองเยรูซาเลม กระบวนการสันติภาพก็ไม่เดินหน้า” โดยอ้างว่า “เยรูซาเลม” เป็นเมืองหลวงดั้งเดิมของชาวอิสราเอล (มาแต่สมัยกษัตริย์เดวิด)
ใคร่ถามว่า การอ้างประวัติศาสตร์ มาครอบครองพื้นที่เช่นนี้ ถูกต้องละหรือ หากวันหนึ่งข้างหน้า กัมพูชาจะอ้างเรียกแผ่นดินคืนจากไทย อ้างว่าเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของขอม นอกเหนือไปจากปราสาทเขาพระวิหาร เช่น ปราสาทหินพิมาย หรือปราสาทเมืองสิงห์ ฯลฯ
พฤติกรรมของ “ทรัมพ์” จึงไม่ผิดอะไรกับ การที่พระสันตะปาปาเออร์บันที่ ๒ ในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงใช้วาทะจุดประกายไฟสงคราม “ครูเสด” ครั้งที่ ๑ (สงคราม “ครูเสด” มีรวมเก้าครั้ง) ขึ้น ในระหว่างปี ค.ศ.๑๐๙๖-๑๐๙๙
ทรงบอกว่า “ใครก็ตามที่ปลดปล่อยแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (รวมทั้งนครเยรูซาเลม) ก็จะหลุดพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ทำไว้ทั้งหมด” และก็กระทำได้สำเร็จ
โดยกองทัพ “ครูเสด” สามารถขับไล่ “เซลจุกเตอร์ก” (มุสลิม) ฝ่ายที่ครอบครองดินแดนดังกล่าวออกไปได้ พร้อมสังหารผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสต์ ชาวมุสลิมหรือชาวยิว ซึ่งอาศัยอยู่ใน “เยรูซาเลม” นั่นเอง
แต่ในคราวนี้ “ทรัมพ์” จะจุดไฟสงครามสำเร็จหรือไม่นั้น ยังมองไม่ออก รู้แต่ว่า ไม่มีใครต่อกล้า “ต่อกร” กับอิสราเอล ซึ่งมีสหรัฐหนุนหลังอยู่ ซึ่งใครๆ ก็รู้อยู่ว่า หากทำไปแล้วผลที่จะเกิดตามมาก็คือ “แพ้ลูกเดียว”
อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของ “ทรัมพ์” ก็มีผล แม้มีผู้ตกเป็นเหยื่อการยุแยงคราวนี้ เพียงไม่กี่คน เช่น ในฉนวนกาซา ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีชาวปาเลสไตน์ที่ลุกฮือต่อต้าน “ทรัมพ์” และอิสราเอล ตายไปสี่คนแล้วจากการโจมตีตอบโต้ของอิสราเอล ที่ถูกกลุ่ม “ฮามาส” ถล่มจรวดเข้าใส่
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล “เบนจามิน เนทันยาฮู” ก็ออกมารณรงค์ในหมู่นานาชาติ เช่น เสนอแนะให้อียู รับรอง ตาม “ทรัมพ์”
โดยทางด้านรัฐบาลวอชิงตัน ก็ได้เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐประชาติ “นิกกี ฮาเลย์” ออกมาสนับสนุนท่าทีของ “ทรัมพ์” อย่างสุดขั้ว เช่นเดียวกัน รวมทั้งเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยซึ่งให้สัมภาษณ์ “สุทธิชัย ไลฟ์” ด้วย
แต่ปรากฏว่า อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำกรุงเทลอาวิฟอย่างน้อยเก้าคน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “นิวยอร์ก ไทมส์” ไม่เห็นด้วยกับ “ทรัมพ์” โดยแสดงความห่วงใยไปในทิศทางเดียวกันว่า “แผนนี้มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิด แถมก่ออันตรายและจะสร้างรอยราวให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก”
ก็จะไม่ให้นักการทูตอเมริกันมืออาชีพ มีความเห็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อผิดนโยบายที่พยามทำกันมาแทบเป็นแทบตายตั้งแต่แรก
ได้ยินข่าวมาบ้างแล้วว่า “ทรัมพ์” ยังจะไม่ตัดสินใจ สั่งย้ายสถานทูตอเมริกัน จาก “เทลอาวิฟ” ไปยัง “เยรูซาเลม” ในตอนนี้ชั่วคราว
คาดว่า เป็นเพราะพิเคราะห์ดูแล้ว เท่ากับจุดไฟสงครามแน่ๆ เพราะมีความเป็นไปได้ว่า จะต้องเกิดเรื่อง เพราะอย่างน้อยที่สุดชนชาวอาหรับ (รวมทั้งในปาเลสไตน์) ในอิสราเอล ก็ต้องไม่ยอมแน่นอน
แม้ซาอุดีอาระเบีย ที่ทำตัวเป็นมิตรที่ดีกับอิสราเอลในตอนนี้ เนื่องจากมีศัตรูร่วมกันคืออิหร่าน ก็อาจลุกขึ้นจัดการกับอิสราเอลได้ ไม่ในทางเปิดเผย ก็ด้วยวิธีลับ
บรรดาชาติมุสลิมอื่น ๆ ที่มีประชากรเป็นมุสลิมมาก ๆ เช่นอินโดนีเซียหรือมาเลเซียก็คงจะไม่ยอมเช่นกัน หรือแม้แต่อียิปต์ที่ว่ากันว่าเป็นมิตรที่สนิทแนบแน่นกับสหรัฐ
ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งจีนและรัสเซีย แสดงท่าทีชัดเจน ไม่เอาด้วยกับ “ทรัมพ์” ซึ่งก็อาจขายอาวุธเพลิน หากเกิดการสู้รบ
สงครามกับ “ไอเอส” เพิ่งจะยุติไป แต่คราวนี้ก็จะเป็นการเปิดฉากสงครามศาสนาครั้งใหญ่อีกหนและอาจกลายเป็นสงคราม “ครูเสดครั้งที่ ๑๐”
หาก “ทรัมพ์” ไม่รีบดับไฟแต่ต้นมือ ก็คงจะงานเข้า เนื่องจากในอีกทางหนึ่งนั้น องค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะ คณะมนตรีความมั่นคง ไม่เอาด้วยกับ “ทรัมพ์” อย่างเด็ดขาด เพราะองค์การนี้ ตั้งขึ้นไว้เป็นบรรทัดฐานในการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับกฎหมายสากล แม้ที่ผ่านมา จะเอนเอียง ยอมรับฟังสหรัฐมาตลอดก็ตาม
เข้าใจว่าในที่สุด “ทรัมพ์” ก็จะเล่นเกมถอยชั่วคราว หลังที่สามารถกวาดคะแนน “เอาใจ” จากชาวยิวอเมริกันได้แล้ว โดยบอกย้ำว่า “นี่ผมทำให้แล้วนะ”
ก็เหมือนกับการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก “ผมก็ทำแล้วนะ”ส่วนจะเสร็จไม่เสร็จ จะเดินหน้าหรือไม่อย่างไร เอาไปว่ากันที่หลัง แล้วแต่สถานการณ์จะอำนวย
ก็คงจะตระหนักกันสิว่า ประชาธิปไตยส่งออกที่ว่า “โปร่งใส” อย่างสหรัฐอเมริกานั้น มีผลเป็นอย่างไร เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกเอาคนที่ไม่สมประกอบทางอารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ ไม่สนใจคุณธรรม เอาแต่ประโยชน์ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม มาเป็นผู้นำ
สภาพการณ์อย่างนี้ ไทยเราก็ได้บทเรียนมาแล้ว จากรัฐบาลสามสี่สมัยที่ผ่านมา เพราะคนไทยส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมเติบโตทางวุฒิภาวะ เลือกเอาแต่ “ไอ้คนเลวๆ” เข้ามาบริหารประเทศ เพราะคิดว่ามันดี มันเก่ง
เขียนมาจนขณะนี้ ก็อยากจะเสนอแนะรัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้าว่า ขออย่าได้จริงจังและตามใจสหรัฐอเมริกาอย่างเด็ดขาด ต้องพิจารณาดูด้วยว่า ใครเข้ามาเป็นรัฐบาล พอจะมีคุณธรรม เป็นที่น่าเชื่อหรือไม่
เชื่อว่า การหาเสียงโดยอาศัย ”เยรูซาเลม” เป็นเครื่องมือคราวนี้ของ “ทรัมพ์” เขาไม่น่าจะมีสติปัญหาคิดขึ้นมาเองได้
ถ้าอยากรู้ว่า ใครคิดแผนแทน ก็ให้ไปถาม “จาเรด คุชเนอร์” เขยขวัญรูปหล่อของเขาดูสิ
เผื่อจะได้คำตอบดีๆ