ฝนโปรยลงมาแผ่ว ๆ อึ่งอ่างร้องประสานเสียงมาจากด้านหลังสถานีน้ำมัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปสู่บ้านเกิดที่ภาคอีสานอีกครั้ง ความสุขในฤดูฝนขณะนอนฟังเสียงสายพิรุณตกเปาะแปะ และเสียงอึ่งอ่างร้องระงมใต้ผ้าห่มผืนหนาเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยลืมเลือน
นายพันตำรวจโทสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวและก้าวไปหลบอยู่ที่มุมมืดคอยสังเกตสิ่งผิดปกติใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ป่านนี้ทั่วประเทศคงรับรู้ถึงการปฏิวัติที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้ว และตำรวจทุกหน่วยคงได้รับคำสั่งให้ตามล่าตัวอดีตนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่จ้าละหวั่น นายตำรวจถอนหายใจยาว การเมืองและอำนาจไม่เคยเข้าใครออกใคร และไม่มีอะไรแน่นอน ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมันก็อาจมีจุดจบอย่างไม่คาดฝัน เหมือนอย่างที่เจ้านายของเขากำลังประสบอยู่นี้ การเมืองเป็นละครที่พระเอกและผู้ร้ายอาจเปลี่ยนบทกันได้ง่ายดาย เป็นละครที่ไม่มีคำว่ามิตรแท้หรือศัตรูถาวร และเขาเรียนรู้มันจากประสบการณ์จริง
มือปราบลูบคลำแหวนอัศวินในมือ ตัวละครตัวแรกที่เขาคลุกคลีด้วยคือจอมพล ป. ชีวิตของเขาเข้ามาผูกพันกับท่านโดยไม่รู้ตัว ความสามารถแม่นปืน ระดับสุดยอดของเขาทำให้อธิบดีกรมตำรวจยุคนั้นดึงตัวเขามาเป็นตำรวจคู่กาย ไม่นานต่อมา เขาก็ถูกขอตัวไปเป็นนายตำรวจประจำตัวท่านนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จอมพล ป. รักเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบนโยบายและการกระทำบางอย่างของท่าน แต่ก็เคารพและซื่อสัตย์ต่อท่านมาจนถึงวันสุดท้าย และความเถรตรงนี่เองที่ทำให้เขาอยู่มาได้นานขนาดนี้ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตลอดเวลา
ตัวละครตัวที่สองคือ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารปี 2490 ผู้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองสูงตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ อารมณ์ร้อนแรงดังไฟ โกรธง่ายหายเร็ว ยุคสมัยนั้นตำรวจภายใต้การนำของท่านรุ่งโรจน์สุดขีด ท่านพยายามทุกวิถีทางที่จะยกระดับกรมตำรวจให้เป็นเหล่าทัพที่สี่ถัดจากทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ
ท่านจัดตั้งหน่วยตำรวจรถถัง หน่วยตำรวจน้ำ หน่วยตำรวจพลร่ม ฯลฯ ทุกหน่วยเพียบพร้อมด้วยกำลังรบแบบทหาร มีธงไชยเฉลิมพลเท่าเทียมสามเหล่าทัพทุกประการ ส่วนนายตำรวจชั้นอัศวินลูกน้องของท่านก็ผงาดไปทั่วเป็นที่หวั่นกลัวของคนทั่วไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานในกรมตำรวจโดยตรง แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของตำรวจยุคอัศวินเป็นใหญ่เป็นอย่างดี คดีสังหารโหดอดีตรัฐมนตรีสี่ศพที่ถนนพหลโยธินยังไม่เคยเลือนจากใจของประชาชนจนทุกวันนี้ บางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าแหวนอัศวินที่นิ้วมือเป็นเครื่องหมายของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หรือการหลงใหลในอำนาจกันแน่ แน่นอน ไม่เคยมีตำรวจไทยในยุคใดที่โดดเด่นเช่นสมัยนี้เลย วาทะที่ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้” เป็นประโยคที่คนเดินถนนทุกคนรู้ดี แต่รัฐประหารในคืนนี้ก็ทำให้ท่านเรียนรู้สัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์”
ตัวละครตัวที่สาม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายทหารที่จอมพล ป. ไว้ใจที่สุดคนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยปราบกบฏหลายครั้งในช่วงปี 2491-2494 จอมพลผิน ชุณหะวัณ จึงมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ในปี 2497
ช่วงสองสามปีสุดท้ายในชีวิตการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขั้วอำนาจแตกออกเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มขวาสุดได้แก่ จอมพล ป. กลุ่มกลางได้แก่กลุ่มของ จอมพลผิน ชุณหะวัณ และกลุ่มซ้ายสุดคือกลุ่มของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
แรงอำนาจทั้งสามแตกออกจากกันชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด นักศึกษาประชาชนเดินขบวนไปที่ทำเนียบ จอมพล ป. ประกาศภาวะฉุกเฉิน มอบให้จอมพลสฤษดิ์เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหารปราบปรามการก่อความไม่สงบ แต่จอมพลสฤษดิ์กลับเข้ากับฝ่ายนักศึกษาที่เดินขบวนโดยประกาศว่า “ทหารจะไม่มีวันทำร้ายประชาชนเป็นอันขาด”
สองอาทิตย์ต่อมานายกรัฐมนตรีก็ยกเลิกภาวะฉุกเฉินและตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายทหาร ในวันนั้นเองจอมพลสฤษดิ์ออกประกาศทางสถานีวิทยุด้วยคำคมว่า “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”
เขาจำได้ว่าในโอกาสวันครบรอบวันเกิดปีที่ 60 ของ จอมพล ป. เมื่อสองเดือนก่อน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลูกน้องคู่ใจนำลูกสุนัขไปมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ท่าน และกล่าวว่าจะซื่อตรงจงรักภักดีต่อท่านเหมือนสุนัขตัวนั้น
แต่คืนนี้จอมพลสฤษดิ์ก็ยึดอำนาจทั้งหมดมาอยู่ในมือตัวเอง
นี่คือสัจธรรมหรือโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ?
มือปราบ ตุ้ย พันเข็ม นึกในใจ อำนาจก็เป็นเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง ทุกคนรู้ว่ามันเป็นของอันตราย ทุกคนเคยเห็นตัวอย่างความร้ายกาจของมัน แต่ก็มิวายที่จะลองลิ้มชิมมันดู และก็ตกอยู่ในบ่วงรัดของมันเสียทุกคนทุกทีไป
.………………..
จาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/