เกิดกระแสความสนใจข่าวจำคุก 1 ปี 6 เดือน หญิงตาบอดโพสต์เฟสบุ๊ค 112 ว่าเป็นความจริงหรือไม่ มีต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ใครเป็นคนแจ้งความ และด้วยเหตุอะไร ผู้สื่อข่าวสำนักหนึ่งในเครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชนได้สอบถาม พิพัฒน์ธนชัย (สงวนนามสกุล) ผู้แจ้งความเอาผิด นูรยาฮาตี หญิงพิการตาบอดผู้กระทำผิดตามกฏหมาย ม.112
พิพัฒน์ธนชัย (สงวนนามสกุล) ชายผู้พิการทางสายตาวัย 32 ปี ชาวสงขลา รับว่าตัวเองเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีเอาผิด นูรยาฮาตี
ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว มีเพื่อนในกลุ่มคนตาบอดแจ้งมา ผมเห็นว่าเป็นปัญหาก็เลยเป็นคนไปแจ้งความที่ สภ.โชคชัย และหลังจากนั้นก็ได้ส่งหลักฐานบันทึกการแจ้งความไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงได้มอบให้ผู้แทนเข้าแจ้งความดำเนินคดี
แล้วได้ติดตามความคืบหน้าไหม?
ผมไม่อยากให้เรื่องมันเงียบไป ผมพยายามติดตามความคืบหน้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นยังมี ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศชต. ผมก็เลยโทรตามที่ รองผู้บัญชาการ ศชต.ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ทางตำรวจเขาก็มีแนวคิดไม่สั่งฟ้อง แต่คราวนี้ผมเรียนท่านว่าเขาเป็นเพียงแต่คนตาบอด นอกนั้นทุกอย่างก็เหมือนกับคนทั่วไป ไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้ไม่ดำเนินคดี
ทางผมเองคิดว่าควรจะสั่งฟ้อง เลยไล่เรียนกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านในบ้านเมืองนี้ แล้วก็ผู้ใหญ่ท่านก็ให้ความสำคัญ สุดท้ายทางอัยการก็ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้ไป ผมอยากเห็นเรื่องนี้ถูกดำเนินคดีเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แจ้งความแล้วหายไป
จริงๆ ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน แต่ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเพราะว่าน้องเค้ารู้เท่าไม่ถึงการ เสพข่าวด้านเดียว
คิดยังไงกับผลการพิพากษา ให้ นูรฮายาตี ต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ?
ผมมองว่าที่ศาลพิพากษาอย่างนี้ชอบแล้ว โทษที่ศาลลงไปนี่ถือว่าท่านปรานีมากเลยนะ จำคุก 3 ปี ลดเหลือ 1 ปี 6 เดือน ผมเข้าใจว่าเหตุหนึ่งที่ท่านไม่รอลงอาญาเนื่องจากว่าท่านมองว่ามันเป็นคดีความมั่นคง ถ้าท่านให้รอลงอาญา วันหน้าก็จะมีคนเอาเยี่ยงอย่าง เพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานเดียวกันน่ะ กฎหมายมันไม่ได้ยกเว้นคนพิการ
ท่านปรานีมากแล้วนะ (พูดซ้ำ) ท่านกรุณาให้สืบเสาะความประพฤติก่อนตัดสิน การทำความผิดก็ให้ลงโทษกันไป ในส่วนการจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวก็ช่วยกันไป แต่มันคนละเรื่องกับคนพิการทำความผิดแล้วไม่ต้องลงโทษ ต่อไปผู้ร้ายก็ใช้คนพิการเป็นเครื่องมือกระทำความผิด
ในส่วนการที่จะอุทธรณ์ ในมุมมองของผม ผมมองว่า ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก็ไม่น่าจะไปอุทธรณ์อีก ถ้ายังจะอุทธรณ์ ทางผมก็จะมีความเห็นทำหนังสือถึงอัยการเหมือนกันเพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับศาล สิ่งที่เกิดขึ้น ภาพลักษณ์ของคนตาบอดก็เสียมากพอแล้ว
ในฐานะที่คุณเป็นคนตาบอดด้วยกัน คุณคิดอย่างไร ถ้าจะต้องมีผู้หญิงตาบอดต้องถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ ?
คุณต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า คนตาบอดกับคนตาดีมันต่างกันเพียงแค่เขามีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจเพียงบางด้าน ในส่วนของคนตาบอดเขาก็เพียงแค่มองไม่เห็นเหมือนคนทั่วไป อย่างอื่นเขาก็ทำได้
การที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ มันก็เป็นการปรับปรุงนิสัยเขา มีงานอะไรที่เขาสามารถช่วยเรือนจำได้เขาก็ช่วยได้ครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรทั้งผู้หญิงผู้ชาย
เรือนจำที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็น่าจะคำนึงถึงผู้หญิงที่เป็นมุสลิมะห์ หรือผู้หญิงที่เป็นมุสลิมอยู่แล้วจึงไม่น่าจะเป็นห่วงอะไร ถ้าเขาไปอยู่ในเรือนจำ ทำตัวดีไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะได้รับการจำแนกชั้นนักโทษ ได้รับการอภัยโทษไปตามขั้นตอน
เรื่องคนพิการติดคุก รายนี้ไม่ได้เป็นรายแรกนะ ก็ไม่เป็นที่ต้องกังวลอะไร แต่สังคมอาจคิดมากหน่อยเพราะเห็นว่าเป็นคนพิการตาบอด เป็นผู้หญิง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าสังคมเข้าใจบริบทของคนพิการว่าเขาเป็นประชากรส่วนหนึ่งของสังคมเพียงแต่บกพร่องด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
คุณบอกว่าคนพิการถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ คุณไม่รู้สึกสงสารบ้างเหรอ?
ผมคิดว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือคนที่แวดล้อมเขา จะต้องบอกกับเขาว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราอยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนกับอยู่ในบ้าน ไม่เคารพพ่อแม่ตัวเอง ไม่เคารพญาติผู้ใหญ่ มันก็ดูเป็นคนอกตัญญู
ตกลงว่าเป็นการอกตัญญูหรือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์แน่?
น้องเขารับข้อมูลด้านเดียว ด้วยสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง ประกอบกับน้องเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมันคงพูดยาก แต่มีความผิดก็ต้องว่ากันไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง การลงโทษก็เพื่อให้ได้หลาบจำ ไม่ได้ฆ่าเขาให้ตาย ถ้าเขาพ้นโทษมา แล้วมีความสำนึกผิดสังคมก็พร้อมที่จะให้โอกาสเขากลับตัวเป็นคนดี
สุดท้าย พัฒน์ธนชัยบอกว่า ถ้ามีสื่อมวลชนที่ไหนต้องการสัมภาษณ์ก็ยินดีให้ความร่วมมือ หรือจะให้ไปออกรายการทีวีก็ยินดีที่จะไป
เกี่ยวกับคดี นูรยาฮาตี สาเมาะ
นูรฮายาตี มะเสาะ อายุ 23 ปี เป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นคนพิการตาบอดทั้งสองข้างได้รับการศึกษาจากศูนย์การศึกษาพิเศษตาบอด จ.สงขลา ถึงชั้น ป.2 (หลักสูตรสำหรับผู้พิการ) ใช้แอปพลิเคชันสำหรับคนตาบอด (สมาร์ทวอยซ์) โพสต์ความคิดเห็นและคัดลอกบทความของ ใจ อึ๊งภากรณ์ ลงในเฟสบุ๊ค หลังข่าวการสวรรคตของ ร.9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนเป็นเหตุให้ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตาม ม.112 หมิ่นสถาบันฯ โดยที่ศาลไม่ได้นำเหตุที่จำเลยเป็นผู้พิการทางสายตามาพิจารณาลดหย่อนโทษ เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง
นูรยาฮาตีถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกและตั้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ทางครอบครัวของเธอได้นำตัวเธอเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตามหมายเรียก แต่ได้รับการปล่อยตัวในชั้นสอบสวนก่อนจะถูกคุมขังในเรือนจำช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 เมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ต่อมานูรฮายาตีให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดยะลาพิพากษาจำคุกเธอเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญาในวันที่ 4 มกราคม 2561
ปัจจุบันแม้ว่ามีการตัดสินในศาลชั้นต้นแล้ว คดียังไม่สิ้นสุด ทั้งโจทก์และทางจำเลยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์หรือไม่ โดยปกติกฎหมายให้สิทธิ์กับโจทก์และจำเลยในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือนและยังให้ขอขยายเวลาในการอุทรณ์ได้ถ้ามีเหตุจำเป็น
ทั้งนี้ บทความดังกล่าว ได้มาจาก ผู้สื่อข่าวสำนักหนึ่งในเครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ที่มีเจตนาเปิดเผยใบหน้าของผู้แจ้งความ คดี 112 แต่กลับไม่เปิดเผยใบหน้าของคู่กรณีผู้กระทำผิด ม.112 จึงเกรงว่า การกระทำอันไม่เท่าเทียม ซึ่งทางผู้แจ้งความ คดี 112 อาจจะได้รับอันตรายจากการคุกคามทางการเมือง ทาง เพจ สยามานุสสติ จึง จำเป็นต้อง ปิดบังประวัติ ชื่อสกุล และ ภาพถ่ายบางส่วนเพื่อเป็นการปกป้องคนดีของสังคม