“ตูน บอดี้สแลม”………..
๗ วัน ๒๕๗ กม. ขึ้นหลัก ๑๐๐ ล้านที่ “หาดใหญ่” เมื่อวาน (๗ พ.ย.๖๐)!
คิดตามบัญญัติไตรยางศ์
๕๕ วัน จะได้ ๘๐๐ ล้าน เกินเป้า ๗๐๐ ล้านไป ๑๐๐ ล้าน แต่ดูแรงศรัทธามหาชนหนุนเนื่องต่อตูนแล้ว
๑,๐๐๐ ล้าน เอาไปเลย!
ปรากฏการณ์ “พี่ตูน” โดยเฉพาะที่ ๓ จังหวัดใต้ มันให้อะไรที่มากกว่าเงิน ๑,๐๐๐ ล้าน
และต่อให้ ๑,๐๐๐ ล้านล้าน ก็ยังให้ อย่างที่ “พี่ตูน” ให้ไม่ได้
ข้อความต่อจากนี้ มีคนจากยะลาส่งมาให้ ลองอ่านกันดู
เขาคือปรากฏการณ์ เขาคือ men of honor ชายร่างผอมบาง จิตใจดี อ่อนโยน ยิ้มง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน และให้เกียรติเคารพผู้อื่นทุกระดับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ #ชายที่ชื่อตูน หรือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย นักร้องนำวง rock ชื่อดังอันดับ 1 เมืองไทย ณ เวลานี้
เขาคือ “ผู้ชายที่ทรงอิทธิพลที่สุด” ในประเทศไทย
ไม่ใช่คำกล่าวหรืออวยเกินจริงแต่อย่างใด ชายหนุ่มวัย 38 คนนี้ ได้มาพังทลายกำแพงความอึมครึม ระหว่างพี่น้องมุสลิมในพื้นที่กับคนต่างศาสนา
ไม่เคยมีครั้งใด ที่จะมีผู้คนทุกวัย ทุกระดับตั้งแต่เบตง มาถึงบันนังสตา ที่มายืนคอยต้อนรับบุคคลใดคนหนึ่งแบบนี้ และชายที่กำลังวิ่งอยู่นี้ก็ต่างศาสนาออกไป
ภาพที่เราเห็นกันทางหน้าจอทีวี ไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่ทุกที่ทุกครั้ง ที่มีคนมาคอยให้กำลังใจ ขอถ่ายรูป เขาไม่เคยปฏิเสธ
แถมเป็นคนเซลฟีให้เองอีกด้วย
ด้วยรอยยิ้ม ด้วยความเต็มใจ 2-3 วันมานี้ พื้นที่ตรงนั้น พื้นที่สีแดง พื้นที่ก่อเหตุรุนแรง เปลี่ยนกลับไปเหมือนช่วงก่อนปี 2547
ที่คนทุกศาสนาอยู่ด้วยกันฉันพี่น้อง ถึงแม้จะใช้งบหมื่นล้าน แสนล้าน ก็ไม่มีทางนำรอยยิ้ม นำความสุขมาให้ในพื้นที่ได้
“เท่าชายคนนี้ทำ” แน่นอน
…ทำไมชายคนนี้ถึงได้มีอิทธิพลต่อคนไทยถึงเพียงนี้ ค่าตัวเขาเล่นดนตรี ครั้งละ 750,000 บาทต่อ 2 ชม.
เวลา 60 วันที่เขามาวิ่งครั้งนี้ และเวลาที่เตรียมร่างกายก่อนหน้านี้ สามารถทำเงินให้เขามหาศาล เขาไม่ต้องมาวิ่งให้เหนื่อย แค่คิดว่าต้องวิ่งถึง 2 พันกว่ากิโล ผู้เขียนได้ยินก็เข่าทรุด หน้ามืด มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ที่ต้องวิ่งไกลขนาดนั้น
สภาพภูมิประเทศ เดี๋ยวฝนตก แดดออก แต่เขาไม่หยุด ยังคงวิ่งต่อไป ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ
เขาทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร?
ในโลกนี้จะมีสักกี่คน ที่คิดจะทำแบบเขา วิ่งท่ามกลางภาวะสงครามในพื้นที่ และที่สำคัญ ผู้หญิงของเขา ที่เคียงข้างเขา คุณก้อย คุณเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
คอยให้กำลังใจพี่ตูนตลอดเส้นทาง คุณสองคนก้าวข้ามคำว่าเสียสละไปแล้ว คนที่คิดที่จะทำเพื่อผู้อื่น จนบางครั้งตัวเองอาจจะหมดลมหายใจ
คนแบบนี้เราต้องรักษาให้ดีที่สุด ผู้เขียนดีใจ ที่สมัยวัยรุ่นเรียนช่างกลที่กรุงเทพฯ สิบกว่าปีก่อนติดตามดูเขาแทบทุกงาน ไม่เสียแรงจริงๆ ที่นับถือ
แล้วก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแน่นอน คนที่จะทำได้เหมือนชายที่ชื่อ “ตูน บอดี้สแลม”
บุคคลที่ควรเทิดทูน ชายที่ควรได้รับเกียรติ men of honor
นอกจากนี้แล้ว………..
ยังมีผู้เขียน “ปรากฏการณ์ตูน” อีกมาก ขอยกจาก “มุสลิมไทยโพสต์” มาให้อ่านอีกสำนวน ดังนี้
จากปรากฏการณ์ที่ “ตูน บอดี้สแลม” ได้เริ่มต้นไว้กับโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ กำลังเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง
แม้โครงการจะเริ่มต้นขึ้นในระยะเวลาแค่เพียง 5 วัน แต่ตูนได้สร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ กับภาพของความรักที่มีให้แก่กัน ภาพแห่งรอยยิ้ม และภาพแห่งน้ำใจของคนชายแดนใต้ ด้ามขวานของไทย
โดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ว่าคุณคือไทยพุทธ หรือคุณคือไทยมุสลิม กล่าวได้แค่เพียงคุณคือ “คนไทย” และปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ได้สร้างแค่รอยยิ้มให้เฉพาะคนชายแดนใต้เท่านั้น
ภาพที่เกิดขึ้น ยังขยายวง สร้างรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความดีใจเปี่ยมสุขมายังคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย
และสำหรับในสังคมมุสลิมจังหวัดชายแดนใต้ ประเด็นนี้ก็กำลังเป็นประเด็นที่ถูกนำมากล่าวถึงเช่นกัน
อุสตาซอับดุชชะกรู บินชาฟิอีย์ กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ใน deepsouthwatch.org ว่า
“ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก
ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
จากโครงการ ‘ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ’ ระยะทาง 2,191 กิโลเมตร จากใต้สุดที่ อ.เบตง จ.ยะลา สู่เหนือสุด อ.แม่สาย จ.เชียงราย
เพื่อนำรายได้จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลศูนย์ 11 แห่งของตูน นักร้องนำวงบอดี้สแลม พร้อมด้วย ก้อย รัชวิน และทีมงาน
โดยปัจจุบัน ได้ผ่านชุมชนต่างๆ ชายแดนใต้ ซึ่งส่วนใหญ่มีคนชื่นชม
แต่หลังจากมีภาพสาว หรือสตรีมุสลิมในพื้นที่มากมายถ่ายภาพเซลฟี ทำให้นักเลงคีย์บอร์ดบางส่วนออกมาโจมตี แต่ก็มีนักวิชาการมุสลิมบางท่านหรือหลายท่านออกมาชี้แจง หนึ่งในนั้นคือท่าน
อับดุลกอเดร มัสแหละ ได้เขียนบทความผ่านเฟสท่านในหัวข้อ จากกระทงมาถึงตูน….โดยมีรายละเอียดดังนี้
‘เมื่อคืน 3/11/60 เป็นคืนลอยกระทง สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่ริมน้ำ พวกเรามุสลิมก็อยู่ริมน้ำเช่นกัน กระทงกับคนไทย กระทงกับมุสลิม มันก็อยู่ ก็เห็นกันมานาน ตั้งแต่อดีตมา ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน
มุสลิมไม่ลอยกระทง ก็รู้กันมาตั้งนาน เพราะมันไม่ใช่ประเพณี วัฒนธรรมของมุสลิม ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน
แต่ปัจจุบันกลับมีปัญหา ก็ไม่ทราบว่ามันเกิดการขัดข้องทางเทคนิคตรงไหน เมื่อไหร่ หรือมุสลิมหย่อนยาน หรือว่ามุสลิมเกิดเคร่งเกินไป
เคร่งไม่เป็นไร แต่อย่าเคร่งจนล้ำเส้น ไม่ว่าเทศกาลอะไรมา มุสลิมเป็นได้วิจารณ์แหลก หลายคนก็วิจารณ์ล้ำเส้น แบบขาดความเกรงใจ
ผมก็ไม่เห็นว่ามีใครมาชวนมุสลิมไปลอยกระทง และมุสลิมบางคนที่แอบไปงานลอยกระทง ก็ไม่มีใครมาชวนสักหน่อย การที่มุสลิมบางคนไปวิพากษ์ วิจารณ์เกินความพอดี ผมไม่เห็นด้วย หลายครั้ง วิจารณ์เกินเลยมากไป ไปกระทบความเชื่อของเขา
ทำไมล่ะ ใครจะทำตามความเชื่อของใคร มันเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมเราต้องเดือดร้อนด้วย ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ เราก็เคยเห็น และมันก็อยู่กับพหุวัฒนธรรมมาโดยตลอด
เราจะจัดงานอะไร ก็ไม่มีใครมาว่าอะไรเรา วันอีดเราจะมีอะไร เพื่อนๆ ต่างศาสนิกก็ไม่เคยมาก้าวก่ายเรา
แล้วทำไม เมื่อเขามีเทศกาลของเขา เราต้องวิพากษ์จนเกินเลย อุมมุเตาวะสะฎอ มันหายไปไหนหมด
คนในอดีตเคร่งกว่าคนยุคนี้ เขาก็ไม่เห็นจะต้องไปล้ำเส้นกัน เขาถึงอยู่ได้อย่างมีความสุข ท่ามกลางการเข้าใจซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันที่ตูน บอดี้สแลม ออกวิ่งรณรงค์ซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาล ผมก็งงมากที่บางคนออกมาต่อว่าเสียๆ หายๆ
ภาพลักษณ์ที่พี่น้องมุสลิมสามจังหวัดร่วมกันบริจาค เป็นภาพลักษณ์ที่สวยงาม เพราะเป็นการบริจาคเพื่อมนุษยธรรม หลายฝ่ายชื่นชม สิ่งที่ออกมา มันตรงกันข้ามกับความโหดร้าย แต่ก็แปลก เกิดมีคนรู้สึกไม่พอใจ ผมงงมาก…
โดยเอาภาพที่มีคนถ่าย ‘เซลฟี’ กับตูนมาวิจารณ์ทั้งๆ ที่ตูนก็นอบน้อมเกรงใจ เขาก็คงเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของคนมุสลิม
แต่ภาพ ‘เซลฟี’ เราควรตำหนิใคร หรือเราไม่ได้สอนคนของเราเอง แต่ไปตำหนิคนอื่น มันเลยไม่ต่างกันกับลอยกระทง คนของเราหนีไปเที่ยวเอง แต่เรากลับไปโทษเทศกาลลอยกระทง
ถามว่า ‘ตูน’ ใครๆ ก็รู้จัก เมื่อผู้คนจะชื่นชมยินดี มันก็เป็นเรื่องปกติ ส่วนสาวๆ มุสลิมที่ออกจะเกินเลย ถามว่าจะโทษใคร
เริ่มแรกก็ผู้ปกครอง พ่อแม่เขานั้นแหละ ที่ต้องตักเตือนเป็นอันดับแรก ส่วนพวกเรานั้น ก็ตักเตือนด้วยกับวิทยปัญญา การตักเตือนมันก็มีรูปแบบไว้แล้ว
การใกล้ชิดระหว่างหญิงสาว-ชายหนุ่มที่มิใช่เป็นญาติใกล้ชิด มัน ‘ฮาราม’ ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม ถามว่ามุสลิมไม่รู้หรือไง รู้หมดละครับ
ก่อนจะไปด่า ‘กระทง’ ก่อนจะไปต่อว่า ‘ตูน’
มาต่อว่าพวกเรากันเองไม่ดีกว่าหรือ…และการจะต่อว่าใคร ก็ควรมองถึงผลกระทบด้วยว่า มันเหมาะสมหรือไม่
ถ้าคิดว่า การบริจาคเงินผ่านตูนเพื่อไปซื้อเครื่องมือแพทย์ ไม่ดี สู้เอาเงินไปสร้างมัสยิดไม่ได้ คุณก็ทำไปเลย มีมัสยิดอีกมากมายที่ยังไม่แล้วเสร็จ ใครที่บริจาคเงินสร้างมัสยิดดีครับ ไม่มีใครว่าไม่ดี
แต่ถ้าเขาจะบริจาคเพื่อมนุษยธรรม แล้วไง…หรือเราคิดว่าคนที่บริจาคเงินผ่านตูน เขาไม่เคยบริจาคเงินสร้างมัสยิดหรือไง
แต่ถ้าจะมีมุสลิมคนใด จะไปช่วยซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ให้โรงพยาบาล โดยผ่านตูน ซึ่งเขากำลังรณรงค์ นั่นก็เรื่องของเขา
ส่วนเรื่องที่คนของเราเกินเลย นั่นเราต้องมาว่ากันเอง การตักเตือนมิใช่การด่า หรือประจาน ผมว่าไปห้ามคนที่เอาเงินไปซื้อยาบ้า เล่นการพนันดีกว่ามั้ง
ถ้าคุณทำแบบนี้ออกเฟซบุ๊ก รับรองได้ มีคนเชียร์คุณเพียบ ยกเว้นคนขายยาบ้า และเจ้ามือบ่อนเท่านั้นที่ไม่พอใจ
อย่าทำอะไรให้คนเขาคิดว่า มุสลิมนี่ หาความพอดีไม่ได้เลย ใครทำอะไรเป็นขวางหูขวางตาไปทุกเรื่อง มันเสียภาพลักษณ์มุสลิมผู้ใฝ่หาสันติหมด
ปรากฏการณ์ตูนได้สะท้อนให้สังคมมุสลิม จชต./ปตานี ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโลกโซเชียล ต้องมีทักษะด้านต่างๆ อีกมาก เช่นมุมมองการบริจาคสาธารณประโยชน์ ผ่านต่างศาสนิก ทักษะการสนับสนุนความดี ละเว้นความชั่ว ตามมุมมองศาสนา ทักษะการทำกิจกรรมสาธารณะกับคนต่างวัฒนธรรม
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้เขียน ผู้เผยศาสนธรรมและทุกคนจะร่วมด้วยช่วยกันอย่างไร
ในภารกิจหนุนเสริมความดี ละเว้นความชั่วอย่างมีอารยะ ตามกรอบอิสลาม เพราะอิสลามคือแนวทางการดำเนินชีวิต
ท้ายนี้ ฝากชาวมุสลิมทุกท่าน 2 เรื่อง กรณีตูนวิ่งการกุศลผ่านแต่ละพื้นที่
1.ร่วมกันบริจาค เพราะมันคือ ความดีที่ไม่สิ้นสุด
2.สำหรับมุสลิมผู้ที่เซลฟี ขอให้อยู่ในกรอบของมารยาทและหลักการอิสลาม”
ขอบคุณ:ข้อมูลจาก deepsouthwatch
———————————————–
ครับ ไม่เพียงใน ๓ จังหวัดใต้ แต่ทั้งประเทศ “ตูน บอดี้สแลม” คือ “ทูตสันติสุข” แห่ง “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม” โดยแท้!
ขอบคุณไทยโพสต์