ธรณีนี่นี้เป็นพยาน…… เวรที่ระงับด้วยกิโยติน!!!
สองสามวันมานี้ มีแต่คนพูดถึงพระเจ้าหลุยส์มั่ง ปฏิวัติฝรั่งเศสมั่ง
เหมือนกับบ่งบอกความนัยอะไรบางอย่าง แต่…จะพูดทั้งที รู้มาแค่ครึ่งๆกลางๆมันจับใจความอะไรไม่ได้เลย
ไม่อยากให้กลุ่มน้องฟ้า…รู้ไปแบบงูๆปลาๆ เดี๋ยวเกิดต้องไปแสดงภูมิที่ไหน…จะได้ไม่เฉิ่ม…
อีกทั้งเรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากที่ต้องอาญาด้วยพระโลหิตแล้ว….บ้านเมืองก็เหมือนกับตกอยู่ในภาวะที่น่าสพรึงกลัว
ขอย้อนไปว่าสาเหตุที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่ต้องทรงประสบกับชะตากรรมนั้น เริ่มมาตั้งแต่ที่ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1774 มาเลย เพราะท้องพระคลังมีแต่หนี้ และ หนี้จากการที่ใช้เงินเติบของกษัตริย์องค์ก่อนๆ
ซึ่งแทนที่พระองค์จะรีบอุดรอยรั่วหรือพลิกฟื้นสถานะ…
กลับไม่ทรงทำอะไรเลย ซ้ำยังให้เสนาบดีคลังไปหากู้มาอีก
ประกอบกับฝรั่งเศสเข้าสู่ภาวะขาดแคลน ผลผลิตไม่ได้ตามฤดูกาลไม่สามารถปลูกพืชผลได้ ในปี 1789 ประชาชนอดอยาก ขัดสน ในขณะที่กษัตริย์และขุนน้ำขุนนางอยู่สบาย
นั่นคือที่มาของการลุกฮือของประชาชน
และการโค่นล้มได้เกิดขึ้น เดือนสิงหาคม 1792 ที่พระองค์และพระราชินีมารี อังตัวเน็ตต์ ได้ถูกจองจำเพื่อรอการพิพากษาโทษ เป็นอันว่านั่นคือการสิ้นสุดของสถาบัน….
ทีนี้เรามาดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมืองฝรั่งเศสในช่วงนั้น…
แน่นอนว่า กลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันนั้นได้ก่อตัวมานานแล้ว
อาศัยจังหวะที่เหมาะ คือการ”ลุกฮือ” ของประชาชนขึ้นมา ต่างก็เปิดเผยตัวเองและทีมงานกันจ้าละหวั่น
ซึ่งเป็นก๊กใหญ่ๆดังนี้
1. Jacobin Club ผู้นำคือ Maximilien Robespierre ทนายความวันสามสิบเศษ ที่มีอุดมการณ์มุ่งมั่น กร้าวแกร่ง ประกาศตัวชัดเจน ตามคำขวัญของพรรคว่า “สิ้นชีพ ดีกว่าอยู่อย่างไร้เสรี …” และผู้ช่วยเพื่อนสนิท Jacques René Hébert วัยสี่สิบเศษ เป็นนักหนังสือพิมพ์ ตามด้วย Louis Antoine de Saint-Just ทหารหนุ่มวัยยี่สิบเศษ
2. Cordelier Club ผู้นำคือ George Danton และ Camille Desmoulins ทั้งคู่เป็นทนายความ วัยห้าสิบเศษ ทั้งสองกลุ่มนี้ 1+2 อยู่ในสังกัดพรรค Le Montagne ชูนโยบายซ้ายตกขอบด้วยกัน
3. Thermidorians ผู้นำคือ Paul Barras (มีศักดิ์เป็น Vicomte) วัยสี่สิบเศษ อาชีพเป็นทหารยศร้อยเอก พรรคคือกลุ่มทหาร ตำรวจ หรือเป็นกลุ่มที่ติดอาวุธ รวมทั้งนักการเมือง
4. Sans Culottes คือพรรคแรงงาน ที่ถือเป็นฐานกำลังที่สำคัญเพราะรวมตัวก่อตั้งด้วยชั้นรากหญ้า และเขาเลือกที่จะใช้ชื่อ ซองส์ คือลอตต์ อันหมายถึง “ไม่มีกางเกงหรูรัดเข่าใส่” กางเกงหรูรัดเข่านั้น เป็นสัญลักษณ์ของผู้ดี ขุนน้ำขุนนาง
ระหว่างที่มือหนึ่งของพวกนักการเมืองกำลังจัดสรรปั้นพรรค แบ่งพวก แต่งสภากันอยู่เพื่อเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล อีกมือหนึ่งก็ได้ส่งสัญญาณให้เหล่าลิ่วล้อฝ่ายติดอาวุธเก็บกวาดดูแลความเรียบร้อย อันเป็นที่มาของวัน”นองเลือด” ในกรุงปารีส (September Massacres) คือในวันที่ 2 -6 กันยายน 1792 อันเป็นเหตุเกิดสงครามกลางเมือง และได้ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆที่มีคนตายนับไม่ถ้วน
เฉพาะแค่ในคุก….เหล่าทหาร ตำรวจ ได้สำเร็จชีวิตนักโทษไปกว่าพันรายภายในยี่สิบชั่วโมง ภายใต้คำสั่งของพรรค Cordelier
การไล่ล่าสังหารผู้คนที่คิดว่าเป็นเสี้ยนหนามประชาธิปไตยได้ดำเนินต่อไปในเมืองต่างๆ
ผู้บริสุทธิ์หลายรายได้กลายมาเป็นเหยื่อ ทุกเพศ ทุกวัย
ความจริงมีก๊กการเมืองต่างๆมีมากกว่านี้นับสิบ แต่ดิฉันยกมาแค่ ”ตัวการ” ใหญ่ ที่เป็นแกนนำสำคัญในยามนั้น เพราะบุคคลที่กล่าวมานี้ คือ
คณะล้มราชบัลลังก์จนสำเร็จ และมีส่วนร่วมในการเผาบ้านเผาเมือง
ไล่ฆ่าฟันผู้คนที่เหมือนกับการเกิดมิคสัญญี
พรรคการเมืองทั้งหลายที่กล่าวมา ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา (เป็นครั้งแรกในฝรั่งเศส) คือ La Convention nationale ในวันที่ 20 กันยายน ท่ามกลางเลือดที่ท่วมนองกรุงปารีส
ขอเริ่มจาก Maximillien Robespierre (มักซิมิเลียง โฮเบส์ปีแอร์) ซึ่งดิฉันจะใช้ชื่อย่อว่า MR คนคนนี้มีบทบาทที่สำคัญมาก เป็นทนายปากกล้าที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสถาบัน และเขาไม่เลยละโอกาสในการโจมตี
ในปี 1790 ที่ประชาชนได้เริ่มเสื่อมศรัทธากับพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกนั้น เขาได้ถูกเลือกให้มาเป็นหัวหน้ากลุ่ม Jacobin อันเป็นกลุ่มทนายความลงเล่นการเมือง พร้อมที่จะสร้างกฏเกณฑ์ให้กับบ้านเมืองเพื่อประชาธิปไตย
ตัวนาย MR นี้…เขาได้ประกาศตัวชัดเจนว่า มือสะอาด…ไม่มีการรับนอกรับในใดๆทั้งสิ้น และเขาต้องการให้บ้านเมืองเป็นเช่นนั้น…
ประชาชนต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญ จนเขาได้กลายมาเป็นขวัญใจ
และเขาคนนี้ คือ..ผู้ชี้ชะตาให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก และพระราชินีในการที่จะต้องถูกพิพากษารับโทษ ที่เขาได้หยิบยื่นกิโยตินให้กับพระองค์ในเดือนมกราคม 1793 และสำหรับพระราชินี ในเก้าเดือนต่อมา
หลังจากที่พระราชวงค์ได้สิ้นสุดลง พวกก๊กล้มเจ้าต่างๆที่กล่าวมา เริ่มไม่ไว้ใจกัน เพราะหลายฝ่ายต่างก็พยายามหามวลชนของตัวเอง
อย่าง George Danton และ Camille Desmoulins ที่ไม่ได้ชูนโยบายว่า “มือสะอาด” ก็ถูกตรวจสอบจาก MR และพบว่า
มีการรับใต้โต๊ะ บนโต๊ะ จากเหล่าขุนนาง และบรรดาเศรษฐี
MR จึงใช้การพิพากษาคนทั้งคู่ในระบบศาลเตี้ย และตัดสินอย่างรวบรัดว่า มีความผิด พิพากษาประหารด้วยกิโยตินให้ตายตกไปทั้งคู่ ซึ่งฉากประหารนี้ได้บรรยายไว้อย่างมีสีสันมาก ว่า
นายจอร์จ ดังตง ได้เป็นลมไปสามสี่พัก ร้องไห้โหยหวนอย่างไม่หยุด
ส่วนนาย คามีลล์ เดสมูลังส์ นั่น กลัวจนตัวสั่น เหมือนเสียสติ
เพชรฆาตจึงแกล้งหย่อนใบมีดมาจ่อแค่ผิวคอ ถึงสี่ครั้ง กว่าจะปล่อยให้สุดสาย ในวันที่ 5 เมษายน 1794
การประหารในชุดนี้ ล้างหมดพรรค คือเดินแถวขึ้นสู่กิโยตินถึง 15 ราย
ส่วนนายทหารหนุ่ม Louis Antoine de Saint-Just ผู้ร่วมขบวนการ เป็นคนอ่านคำพิพากษา ชี้ความผิดของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกต่อหน้าฝูงชนนั้น เขาได้รับหน้าที่ไปออกรบในสงครามที่พันตูอยู่กับอังกฤษ,ดัทช์ และ ออสเตรีย ใน Battle of Fleurus 26 มิถุนายน 1794 อันเป็นการรบที่ฝรั่งเศสได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ครั้งแรกในโลก คือ มีการใช้บอลลูนส่งคนขึ้นไปดูสถานะการณ์ศึก…
สงครามครั้งนี้ ฝรั่งเศสชนะ ทำให้ นายทหารหนุ่ม ซังต์ จื๊สต์ (เขียนตามสำเนียงฝรั่งเศสแท้ๆ) ได้รับความนิยมท่วมท้น…
ซังต์ จื๊สต์มีโอกาสได้อยู่เป็นพยานในความสำเร็จของ MR เพื่อนน่วมอุดมการณ์ผู้ที่ประกาศตัวว่า “มือสะอาด” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 216/220 ในวันที่ 4 ก่อนที่จะออกไปรบในแนวหน้า
แต่…มือสะอาด…ไม่ได้หมายถึงความเจียมตน ถ่อมตนเสียเมื่อไหร่
ทันที่ที่ขึ้นเป็นผู้นำตามหลักประชาธิปไตย ในวันที่ 8 หรือสี่วันต่อมา
มักซิมิเลียง โฮเบสปีแอร์ หรือ MR ก็เปลี่ยนไป….
เขาเหลิงอำนาจ………ลืมอุดมการณ์….!!!
เขาได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองตำแหน่งด้วยขบวนพาเหรดขนาดใหญ่กลางกรุงปารีส ด้วยขบวนที่โอ่อ่าสร้างภูเขาจำลองขนาดใหญ่ โดยตัวของเขาได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูระยิบระยับยืนเด่นเป็นสง่าเหนือปวงชน…จนดูคล้ายกับเทพยดาที่มาจากสรวงสวรรค์
และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้อ่านกฏหมายมาตราใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเขียนมาหมาดๆ……เรียกว่า “มาตรา 22” ให้ทุกคนได้รับรู้…..
“มาตรา 22” นี้ คือ เงามืดของประชาธิปไตยโดยแท้ เพราะทั้งหมดทั้งมวล คือโทษสูงสุดสำหรับคนที่เอาใจออกห่างจากรัฐบาล หรือเออออห่อหมก สนับสนุนฝ่ายที่ตรงข้ามกับรัฐบาล พูดง่ายๆว่า
ทรยศกรู…เมิงงตายยย ประมาณนั้น…
คราวนี้ประชาชนทั้งหมดเริ่มเห็นธาตุแท้ของคนที่พร่ำบอกว่า บูชาประชาธิปไตย และถวายชีวิตเพื่อความเสรี…
ว่า..มันก็ไม่ต่างอะไรกับสถาบันที่เพิ่งล้มล้างไป แถมซ้ำร้ายกว่า คือ
เมิงงง….ลืมพวกกรูที่สู้มาด้วยกันแล้วใช่ไหม?
ทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนเอง…
หลักฐานเริ่มชัดเจนในตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จากการที่ MR ยัดเยียดข้อหาร้ายแรงให้กับเพื่อนที่กอดคอสู้มาด้วยกัน George Danton,
Camille Desmoulins และกลุ่มคนในพรรค จนต้องไปนอนหัวกระเด็นใต้กิโยติน นั้น….มันคือการแย่งอำนาจล้วนๆ
หลังจากที่ได้ผ่านมาตรา 22 นี้ไป การกวาดล้างได้ดำเนินขึ้นอย่างรวดเร็ว กิโยตินต้องทำงานอย่างหนัก นับได้ จาก วันละ ห้าคน ไปจนถึงวันละยี่สิบกว่าคน ภายใต้กฏหมายมืดที่ MR ได้ประกาศใช้
จนถึงเดือนกรกฏาคม ที่ทุกอย่างขมึงเกลียว การประชุมในวันที่ 26
ที่ทุกฝ่ายต่างตั้งคำถามถึงการดำเนินงานในนโยบายของมาตรา 22 ที่ไม่โปร่งใส
MR ได้แก้ตัวอย่างข้างๆคูๆ…แถมตบท้ายว่า เขารู้ว่ามีคนที่ทรยศต่อชาตินั่งอยู่ในสภานี้ เวลานี้หลายคน….แต่เขาไม่ขอประกาศชื่อ
นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่สหายร่วมรัฐบาลจะรับได้ เพราะนี่มันคือการทรยศ ป้ายสี ใส่โทษกันอย่างชัดๆ
สมาชิกสภาได้ตัดสินใจ เปิดการประชุมไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายใต้การนำของ MR, Saint Just, Couthon และ Hanriot
ซึ่งผลการประชุมได้ตัดสินตามเสียงข้างมาก คือ
การจับกุมคนทั้งสี่….เพื่อพิพากษาโทษด้วยข้อหาเป็นปริปักษ์กับประชาชน ใช้อำนาจโดยมิชอบ
ทั้งสี่คนถูกส่งตัวไปคุมขังในที่ต่างๆกัน เพียงวันเดียวก็ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มที่สนับสนุนให้ปล่อยตัวเป็นอิสระจากคุก และให้มารวมตัวกันที่ทำการเทศบาลในวันที่ 27
ซึ่ง MR และคณะยังเชื่อในฐานที่แน่นเหนียวของตัวเองว่า ยังไงเสียก็ต้องกลับมาเป็นผู้นำของรัฐบาลเช่นเดิม
หากแต่เขาลืมไปว่า….ฐานที่แน่นเหนียวนั้น ได้สั่นคลอนบอบบางลงไปมาก เพราะมาตรา 22 ที่ส่งคนเข้าสู่กิโยตินคนแล้วคนเล่า
กลุ่มทหาร ตำรวจ ได้แปรพักตร์ไปจากเขาเรียบร้อยแล้ว
กลุ่มนี้ได้เห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าขืนปล่อยให้พวกพรรคคนหนุ่ม อย่าง
สี่คนนี้ดำเนินการทางการเมืองต่อไป ประเทศชาติก็จะระส่ำระสาย
กับความคิดอ่านที่ไม่เข้าท่า และ การใช้อำนาจที่ไม่ถูกทาง
ดังนั้น เมื่อเวลา ตีสอง ของวันที่ 28 กรกฎาคม 1794
เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ ได้เข้าทำการจับกุม คนทั้งสี่ที่ที่ทำการเทศบาล ซึ่งได้เกิดการต่อสู้ขึ้น
MR ถูกยิงที่โหนกแก้ม เลือดไหลอาบ กระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาถูกลากออกมานอนกองที่เก้าอี้ยาว ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามต่างมายืนมองดูด้วยความสมเพช
ผู้ที่ถูกโดนจับกุมนอกจาก สี่คนที่กล่าวมา ยังมีอีกที่ถูกล่าให้มาร่วมโทษในข้อหาเดียวกันทั้งหมดถึง 21 ราย รวมทั้งน้องชายของ MR
คือ Augustin Robespierre ผู้ซึ่งทำหน้าที่โฆษกพรรค
ทั้งหมด จบชีวิตที่กิโยติน ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1794
ไม่เว้นแม้แต่ นาย George Gouthon ที่เป็นอัมพาต ที่นั่งรถเข็นขึ้นสู่แท่นประหาร…
ส่วน MR นั้น นอนมาในรถเข็น รอบใบหน้าของเขาถูกพันด้วยผ้าที่โชกไปด้วยโลหิต และเมื่อถูกกระชากออกเพื่อที่จะไปขึ้นแท่นประหาร เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น…
จากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขาก็พ้นจากความทรมานด้วยวัยเพียง 36 ปี
รายของ Saint Just นายทหารหนุ่ม เขาเดินตัวตรงสู่แท่นประหารอย่างไม่หวาดหวั่น และเมื่อได้ฟังการอ่านโทษ…
เขาตอบด้วยเสียงสบัดว่า…
“เออ….ข้ารู้ เพราะข้าเป็นคนเขียนมาตรานี้เองกับมือ”
หลังจากการกำจัดพี่น้อง Robespierre และพรรคพวกหมดไป
นายทหารหนุ่ม Napoleon Bonaparte ก็โดนหางเลขถูกกักตัวในคุกไปสองอาทิตย์ เพื่อการสอบสวน เพราะเขาคือเพื่อนกับ Augustin
Robespierre
แต่เนื่องจากในยามนั้น ฝรั่งเศสต้องเจอกับศึกเหนือ เสือใต้
เขาจึงได้หลุดพ้นจากข้อหาต่างๆ และ มุ่งหน้าเข้าทำศึกกอบกู้ชาติ…!!!
ที่ดิฉันเล่าเรื่องมาอย่างฉบับย่อๆให้เห็นภาพว่า การปฏิวัติในฝรั่งเศสนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราดูเบาอย่างผิวเผิน ไม่ใช่เพราะประชาชนทุกผู้ไม่รักสถาบัน หากแต่ความจน ความหิวโหย ความแตกต่างทางสถานะสังคม ที่ทำให้เขาต้องเรียกร้องโดยการผนึกกำลัง
เช่น พรรค Sans Culottes ที่ล้วนคือกลุ่มเกษตรกรใช้แรงงาน
แต่ด้วยความรู้น้อย ขาดประสบการณ์บริหารบ้านเมือง จึงได้เป็นเครื่องมือของเหล่าพรรคต่างๆที่เชิดชูนโยบายขายฝัน
แล้วในที่สุด….กรรมใดใครก่อ….มองเห็นกันชัดๆในประวัติศาสตร์ส่วนนี้ …นอกจากกลุ่มนักการเมืองหนุ่มที่เหลิงอำนาจที่มาตายกันยกพรรคแบบนี้ ประชาชนที่มีจำนวนนับหมื่น นับแสน ที่ต้องตายตกไปตามกันด้วย เพราะความแตกแยก เพราะอุดมการณ์ที่จอมปลอมที่ได้รับมา นั่นคือ ศึกใน
ส่วนศึกนอก…ก็ไม่ได้ว่างเว้น เพราะในเมื่อบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ก็ย่อมเป็นเหยื่อในการรุกรานของชาติอื่น ตั้งแต่ 1796
เป็นต้นมา ฝรั่งเศสไม่เคยได้พักหายใจจากสงคราม…ทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับ ติดต่อกันยาวเรื่อยมา จนถึงสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง
สิริรวมแล้วคือ 150 ปี….ที่แผ่นดินหาความร่มเย็นไม่ได้เลย…
ตอนนี้พอเข้าใจไหมคะ…ว่า ดิฉันไม่ได้กลัวว่าบ้านเมืองจะมีอนาคตใหม่….แต่กลัวความร้าวฉานในหมู่ประชาชนที่เชื่ออุดมการณ์จอมปลอมจนต้องมากลายเป็นสงครามกลางเมืองนั่นมากกว่า
ไม่มีหรอกค่ะ….ในโลกนี้ ที่นักการค้า มหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านจะมีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน…
เขาใช้การเมืองเพื่อที่จะช่วยต่อยอดในธุรกิจ เพื่อช่องทางที่จะทำมาหากินได้ไวกว่าคนอื่น และ เพื่อป้องกันกระเป๋าของตัวเองไม่ให้ถูกเจาะ…ก็เท่านั้น !!!