ชะตากรรมของประเทศอยู่ที่คนไทยทุกเพศวัย – ปราชญ์ สามสี 21/6/2562
ปีนี้นับถือว่าเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทยบทเวทีโลก เมื่อเราได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 22-23 มิ.ย. 2562 ในฐานะประธานอาเซียน โดยมีการประชุมหารืออย่างใกล้ชิด ระหว่างผู้นำสมาชิก10 ชาติอาเซียน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางความร่วมมืออาเซียนในอนาคต รวมถึงแนวทางวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนปี 2568 หรือ Asean Community Vision 2025 ตลอดจนการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์สำคัญภายในภูมิภาคและประเด็นระดับโลก
.
ไทยยังเป็นส่วนหนึ่งของ การประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่12 (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน 2562 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
.
และในปีเดียวกัน ไทยยังได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (Economic and Social Council: ECOSOC) วาระปี ค.ศ. 2020-2022 ในนามกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมกับจีน เกาหลีใต้ และบังกลาเทศ
.
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเครื่องการันตีการทำงานของรัฐบาลทหารช่วงก่อนเปลี่ยนผ่าน สู่ช่วงประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2562ซึ่งหากการประชุมเหล่านี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็จะทำให้ประเทศไทยและผู้คนในภูมิภาคนี้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืนด้วยยุทธศาสตร์ที่ยาวนานร่วมกับอาเซียนทั้งภูมิภาค
.
แต่ก่อนที่ประเทศไทยจะมาถึงจุดนี้ได้ เราได้ผ่านเหตุการณ์เรื่องราวมากมายที่ขัดขวางความเจริญงอกงามของไทยและอาเซียนตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งทางการเมืองภายในของไทยช่วงรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2552 ที่มีกลุ่มที่เรียกตนเองว่า กลุ่ม คนเสื้อแดงซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน นาย ทักษิณ ชินวัตร (ซึ่งเวลานั้นได้หลบหนีออกนอกประเทศ ) บุกเข้าทำลายการประชุมอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ พัทยา จนผู้นำประเทศทั้ง 10 ต้องหนีตายจนทำให้การประชุมอาเซียนครั้งนั้นล่ม
.
แม้ว่าการกระทำครั้งนั้นจะเกิดมากจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองภายในประเทศของเราที่รายแรงและรุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองปี พ.ศ. 2553 แต่การล้มการประชุมอาเซียนครั้งนั้นส่งผลมากมาย ต่ออาเซียนโดยเฉพาะ ความไม่มีเสถียรภาพของภูมิภาคสุวรรณภูมิที่เราอยู่อาศัยร่วมกัน กลายเป็นความไม่สามัคคี และบาดหมางระหว่างสังคมขนาดใหญ่ของหลายๆประเทศ อันส่งผลไปสู่ความเจริญที่ไม่สอดคล้องกันทั่วภูมิภาค
.
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่บันไดแห่งการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน แต่ก็ดูเหมือนจะมีใครบางคนพยายาม “สุมไฟ” เพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเฉกเช่นเหตุการณ์ปี พ.ศ. 2552-2553 อีกครั้ง โดยมีความพยายามปลุกระดมเกิดความขัดแย้ง และความรุนแรงในช่วงเวลาที่ ประเทศไทยกำลังเป็นเจ้าภาพ การประชุมอาเซียน ครั้งที่ 34 (มิถุนายน 2562 ) และ อาจจะลามไปถึง การประชุมอาเซียน ครั้งที่ 35 ต้นเดือน พฤศจิกายน ปี 2562 นี้
.
ความขัดแย้งเหล่านี้ดูไม่หมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งคอยจะกล่าวหาฝ่ายรัฐบาลทหารว่าเป็นเผด็จการที่ใช้ความรุนแรงและไม่เท่าเทียม
.
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน รัฐบาลทหารได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 (ซึ่งผ่านการทำประชามติโดยปวงชนแล้ว )ซึ่งแม้ว่าฝ่ายที่อ้างตนว่าเป็นฝ่ายต่อต้านเผด็จการนั้นจะไม่ยอมรับในกฎหมายที่รัฐบาลทหารร่างขึ้น
.
ฝ่ายต่อต้านเผด็จการทหาร อย่าง นิติราษฎรหลายๆคนยังเข้าร่วมกับพรรค“อนาคตใหม่”ก็ลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดจนได้คะแนนเสียงมากเป็นลำดับสามในการคานอำนาจของรัฐบาล “พลังประชารัฐ”ซึ่งเป็นพรรคพลเรือนซึ่งสนับสนุนแนวคิดของรัฐบาลคสช.ในอดีต
.
แต่การกล่าวหาพลังประชารัฐว่าเป็นเผด็จการอย่างไม่เป็นธรรมยังคงเป็นอยู่โดยตลอด แม้ว่ารัฐบาลพลังประชารัฐ จะยังไม่ได้ตัวรัฐมนตรีร่วมครบทุกกระทรวงเลยก็ตาม หรือเรียกๆง่ายว่า “ยังไม่ได้ทำงาน”ในวาระใหม่ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
.
การต่อต้านรัฐบาลคสช. นั้นมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ การผสมผสานกันระหว่างสื่อมวลชน ที่มีชื่อเสียงด้านแฟชั่นวัยรุ่น และ การเคลื่อนไหวทางโซเชียลมีเดียใหม่ๆ โดยย้ายฐานการเคลื่อนไหวออกจาก เฟสบุ๊ก และ ยูทูป ไปสู่ ทวิตเตอร์ แทนนั้นมีแนวโน้มเรื่องราวที่สอดคล้องกัน
.
โดยเฉพาะการ สร้างคอนเท้นการรับรู้ที่เจาะกลุ่มไปที่เยาวชนที่อ่อนประสบการณ์ชีวิต โดยการสอดแทรกข้อมูลเท็จเข้าไปในภาพยนตร์ต่างประเทศ -หรือเกม เพื่อสร้าง “นีโอโปรปาแกนด้า” ในการส่งเสริมแนวคิดที่ทอดทิ้งชาตินิยม นั้นยังคงมีอยู่และบ่อยครั้งขึ้น ทั้งนี้หากพูดในเชิงลึก การมีตัวตนของกลุ่มองค์กรอย่างประชาไท ไอลอร์ เดอะแมตเตอร์ และ กลุ่มสื่อการเมืองอีกหลายกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนทั้งมางตรงและทางอ้อม จาก กลุ่มทุน โกลเบิลลิส ยังคงทำงานประสานเสียงในการปั้นกระแส สร้างสถานการณ์ให้เด็กๆของพวกเราเกลียดชังทหาร ด้วยคำว่าเผด็จการ
แม้แต่กลุ่มการเมืองฝ่าย ลิเบอรั่ลอย่าง พรรคอนาคตใหม่นั้นก็มีคนจับกระแสไว้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการกลุ่มทุน โกลเบิลลิส ที่ต้องการ ลดกำแพงความเป็นชาตินิยมของไทย อันเป็นต้นเหตุของแนว “ลัทธิชังชาติ” หรือความเกลียดชังรากเหง้าของตนเอง
.
กลุ่มทุน โกลเบิลลิส ที่ว่านี้หลายๆคนรู้จักดีนั้นก็คือ นาย จอร์จ โซรอส นายทุนอาวุโสชาวยิว แห่ง มูลนิธิโอเพ่นโซไซตี้…จอร์จ โซรอส มีชื่อเสียงที่คนไทยจดจำกันได้ก็มาจากการ โจมตีค่าเงินบาทปี พ.ศ.2540นั้นเอง
นาย จอร์จ โซรอส มีชื่อเสียงในการเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้า-บริการหลายชนิด โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัย เช่น เซ็นทรัล ยูโรเปียน ยูนิเวอสิตี้ เป็นต้น อีกทั้ง ยังมีสื่อสารมวลชน จำพวก ธุรกิจทีวีออนไลน์ -สำนักข่าวออนไลน์ และ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เช่น ฮิวแมนไรท์วอทช์ และ แอมเนสตี้ อินเตอเนชั่นแนล ฯลฯ
.
แม้ว่า เมื่อต้นปี 2561 จอร์จ โซรอส จะเคยโจมตี เฟสบุ๊ค และ กูเกิ้ล ว่าเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยโลกก็ตาม
เมื่อสิงหาคม ปี ที่แล้ว (2561) นาย จอร์จ โซรอส มีข่าวว่าได้ซื้อหุ้น ทวิตเตอร์ (twitter) และ เฟสบุ๊ก(facebook) และ เน็ตฟลิค (Netflix) ก่อนทีจะขายหุ้นเฟสบุ๊ก(facebook) และ เน็ตฟลิค (Netflix)ทิ้ง เมื่อปลายปีเดียวกัน(2561)
https://freebeacon.com/…/soros-buys-millions-facebook-twit…/
https://www.barrons.com/…/george-soros-sold-facebook-stock-…
ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า โซรอสได้ทำอะไรกับโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ก่อนที่จะขายมันทิ้งไปเหลือแต่ หุ้น ใน twitter
แต่มีความเป็นไปได้จากการที่ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาขอตรวจสอบการทำงานของเฟสบุ๊คในเรื่องของการเผยแพร่ข่าวเท็จโจมตีรัฐบาลโดนัล ทรัมป์ แต่สุดท้าย เรื่องราวกลับถูกโยนความผิดไปที่รัสเซีย ในขณะที่เรื่องราวดังกล่าวนี้ไม่มีการพูดถึงเรื่องราวการสมคบคิดระหว่าง ฮิลลารี คลินตั้น กับ นาย จอร์จ โซรอส ระหว่างที่ นายบารัคโอบาม่ายังคงดำรงตำแหน่งอยู่แต่อย่างใด … อย่างไรก็ตาม เฟสบุ๊คเลือกที่จะทำตามเงื่อนใขรัฐบาลสหรัฐ เพื่อต่อต้านกับข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโจมตีรัฐบาลสหรัฐอเมริกา(ทรัมป์) จึงทำให้เชื่อได้ว่านี่อาจจะเป็นอีกกระแสหนึ่งที่ทำให้ นักเคลื่อนไหวกลุ่ม โกลเบิลลิสเลือกที่จะ ย้ายฐานการเคลื่อนไหวไปยัง Twitter ที่ปลอดภัยกว่า และ การสร้างสถานการณ์เช่นการปั่น แฮชแท๊กในทวิตเตอร์ก็ทำได้ง่ายกว่ามาก เพราะใครๆก็โม้ได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลใดๆ
https://techcrunch.com/…/facebook-under-pressure-over-soro…/
.
ส่วนการเคลื่อนไหวการเมืองในเน็ตฟลิค (Netflix)นั้น มีเพียงข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่า มีการโยกย้ายท่ายเท กลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองท้องถิ่นบางคน ไปอยู่ในระหว่างประเทศแทน ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนย้ายกลุ่ม เคลื่อนไหวอย่าง “เดอะแมตเตอร์”บางคน ไปอยู่เครือข่ายสื่อบันเทิงออนไลน์อย่างเน็ตฟลิค (Netflix) ซึ่งทำให้ไม่แปลกใจหากจะมี คอนเท้นเน็ตฟลิค (Netflix) บางประเภท ได้รับและเผยแพร่ วัฒนธรรมต่อต้านชาตินิยมและการต่อต้านรัฐบาลจีน เช่น สารคดีปฎิวัติร่มในฮ่องกง เป็นต้น
.
ส่วนองค์กร แอมเนสตี้ ประเทศไทย ที่เคลื่อนไหวในไทยนั้นก็หมดสัญญาและไม่ได้ต่อสัญญาใหม่ จึงทำให้ ศูนย์ แอมเนสตี้ อินเตอเนชั่นแนลที่ใกล้ที่สุดเวลานี้ อยู่ที่สิงขโปร์ หรือ ฮ่องกง ซึ่งไม่แปลกใจหาก คณะกรรมการเดิมของ แอมเนสตี้ ประเทศไทย อย่าง นาย พริษฐ์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ จะปรากฏตัวมาเล่นการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ในนามกลุ่ม นิวเดม(NEWDEM) เพื่อดึงกลุ่มอนุรักษ์นิยม ออกมาต่อต้านสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเผด็จการ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ ผเนื่องจากผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งที่เคยสนับสนุนนาย พริษฐ์ ในการเคลื่อนไหวแย่งคะแนนเสียงในกลุ่มอนุรักษ์จากพรรคพลังประชารัฐ…นั้นเลือกที่จะเข้ากับพรรครัฐบาลพลังประชารัฐมากกว่า
.
ส่วน คณะกรรมการอีกคนของ แอมเนสตี้อีกคนที่กำลัง ล่องลอยไปทั่วเอเชียเวลานี้ อย่าง “เนติวิทย์” ก็ไปเข้าร่วมอยู่ในกลุ่ม ฟอซี (Forsea) ที่ย่อมาจากชื่อเต็มคือ Forces of Renewal for Southeast Asia ที่แปลเป็นไทยก็คือ “กองกำลังคนรุ่นใหม่สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ร่วมกับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และนักเคลื่อนไหวอีกหลายคนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กลุ่ม โกลเบิลลิสเลี้ยงดูไว้
ซึ่งแน่นอนว่าผลงานสำคัญเวลานี้ ของ กลุ่มฟอซี (Forsea) เวลานี้ คงไม่พ้นการพยายามจัดตั้ง เครือข่ายเยาวชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นมาเคลื่อนไหว และ การเข้าไปสนับสนุนการแทรกแซงรัฐบาลบาลจีนด้วยการสนับสนุนการประท้วงที่ฮ่องกงอย่างเต็มรูปแบบ อย่างทีเคยทำมาแล้วในครั้นการชุมนุม ปฎิวัติร่มเหลือง ที่มีนายโจชัวหว่อง และนาธาน ลอร์เคลื่อนไหวเป็นผู้นำเยาวชนจนตั้งพรรค “เดโมซิสโต”สำเร็จนั้นเอง
.
หันกลับมาพูดถึงในประเทศไทยอีกครั้ง
.
เมื่อกลุ่มทุนโกลเบิลพร้อมรบ การปั่นกระแส เกลียดชังเผด็จการ และการเกลียดประเทศเริ่มก่อขึ้นท่ามกลางกระแสของ twitter
.
กลุ่มคนฝ่ายผู้สนับสนุนอนาคตใหม่เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง (โดยแสดงออกผ่านทวิตเตอร์ ไม่ยอมรับในการเลือกตั้งครั้งนี้และเรียกร้องการเลือกตั้งครั้งใหม่
แต่สิ่งที่ปรากฏ ผ่านทวิตเตอร์กลับไม่ใช่แค่ การเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่เพียงอย่างเดียว แต่มันกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่มีการผสมเรื่องราวของการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคนที่คิดต่างจากกลุ่มที่เรียกตนเอง ว่าผู้ปกป้องประชาธิปไตย
ความรุนแรงเริ่มถูกโพสขึ้นจาก ไอดี อินสตาแกรม และ ทวีตเตอร์ที่ระบุตัวตนไม่ได้ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหัวข้อที่เป็นในรูปแบบของการอาฆาตกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม” ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วมีเป้าประสงค์ในการส่งเสริมเยาวชนของเราให้รู้สึกเหยียดสิ่งมีชีวิตร่วมชาติ ที่เรียกว่า “สลิ่ม” ที่ต้องกำจัดทิ้ง…
“สลิ่ม”กลายเป็นสิ่งมีชีวิต ที่แตกต่างจากพวกเขาแล้ว ทั้งๆ นั้นก็เป็นคนร่วมชาติไทยด้วยกันทั้งนั้น
ทั้งนี้ สำหรับคนที่อ่อนการเมือง …ควรจะรับรู้ด้วยว่า คำว่า “สลิ่ม” นั้นมาจากเหตุการณ์คนเสื้อแดงปี พ.ศ.2553 ออกมาเหยียด “กลุ่มคนเสื้อหลากสี”ที่ออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยใช้คำว่า “สลิ่ม” ซึ่งนำเอาลักษณะสีเสื้อที่ ใส่ชมพู – ขาว – เหลือง เขียวอื่นๆ ของผู้ชุมนุมมาผูกกับขนมที่มีความเป็นไทย อย่าง ซาหริ่ม…คำดังกล่าวซึ่งเป็นลักษณะของการเหยียด มนุษย์ชาติพันธุ์แบบหนึ่งว่าเป็นพวกล้าหลังไม่พัฒนา …ไม่ต่างจากการเหยียดสีผิวในสังคมตะวันตกแต่อย่างใด
.
แต่ปัญหามันก็อยู่ที่การนิยามคำว่า“สลิ่ม” ในวันนี้กลับสุดพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น
“สลิ่ม”จีนแดง ,“สลิ่ม”รัสเซีย และ “สลิ่มเผด็จการ”
กลายเป็น“สลิ่ม” กลายเป็นวาทะที่ใครก็ได้สามารถกล่าวหาประชาชนที่ คิดไม่ตรงกลุ่มผู้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลสคช.
.
ขอเพียงขัดใจกับฝ่ายตนก็พร้อมที่จะกล่าวขานผู้อื่นว่า “สลิ่ม”เพื่อเหยียดหยามเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดทิ้ง
และสิ่งเหล่านี้กำลังขับเคลื่อนความเกลียดชังในสังคมไทย เพราะคนที่ถูกตราหน้าว่า เป็น “สลิ่ม” มีไม่น้อยเป็นค่อนประเทศโดยเฉพาะกลุ่มที่นิยมชอบแนวคิดชาตินิยม ที่นับถือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะถูกตราหน้าว่าเป็น “สลิ่ม” โดยปริยายอยู่แล้ว
จนกลายเป็นว่า ฝ่ายไม่พอใจกลุ่มชังชาติก็มี “อารมรุนแรง” พร้อมที่จะออกมาปกป้องอุดมการณ์ประเทศของเขาทุกเมื่อ
.
แต่นั้นก็เหมือนเป็นการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง เพราะ เป้าหมายที่แท้จริงของการขยับเขยื่อนเพื่อการปฎิวัติโลกใหม่ตามแนวทางของกลุ่ม โกลเบิลลิสนั้น จะต้องเริ่มด้วยการ สร้างความขัดแย้งในหมู่สังคมประชิปไตยให้เป็นส่งครามกลางเมืองแล้วใช้ การทูตในขยายปมขัดแย้งก่อนที่จะกลายเป็นเต็มรูปแบบเหมือนที่เกิดในประเทศ อย่าง ซีเรีย…
.
ดังนั้นก่อนจะออกเดินถนนไปไล่ใคร ประท้วงใคร เราควรศึกษาผลดีผลร้ายของการเคลื่อนไหวให้ดีเสียก่อน
.
… ศึกษาข้อมูลโดยรวมว่าเราได้ตกอยู่ในสงครามข่าวสารที่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือไม่?
.
มีความจำเป็นมากน้อยแค่ในการแสดงการประท้วง? เพราะ
.
ทุกการกระทำย่อมมีข้อดีและข้อเสียกับผู้เคลื่อนไหวเสมอ
.
ควรศึกษาผู้คนที่คิดต่างจากตัวเอง ฟังเสียงผู้คนในแต่ละสังคม ต่างช่วงอายุ…
.
เราจะได้ค้นพบว่า การรับรู้ในแต่ละช่วงสมัยของคนไม่เหมือนกัน
.
สลิ่ม มันก็คน …ส้ม – แดง เหลืองมันก็คนไทยเหมือนกัน… เราควรแบ่งปัญญาเรื่องราวมากกว่า ฆ่ากันเพื่อเอาชนะทางการเมือง
.
อย่างไรก็ตามวาทะกรรม “สลิ่ม” ดังกล่าวนี้กำลังกลืนกินเข้าของอุดมการณ์ ตัวตนของ ลิเบอรั่ล อันเป็น “จุดตั้งต้น”ของกลุ่มเคลื่อนไหวตามแนวลัทธิชังชาติ
เพราะจุดตั้งต้นของ การเคลื่อนไหวกลุ่ม ชังชาติในไทยนั้น ล้วนมาจาก คําภีร์เดียวกันนั้นก็คือ ลัทธิ คาร์ล มาซ อันเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะ ประเด็น ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าแนวคิดคอมมิวนิสต์ในสมัยรุ่งเรืองนั้นนำเสนอแนวคิดความเทียมสุดโต่งที่ไปไกลเกินกว่าที่ต้นฉบับคิดไว้นัก อย่าง การทำนารวม และ การความเท่าเทียมทางเพศด้วยการให้ไปทำงานหนักเหมือนกัน ..การกีดกันปัญญาชนเพื่อทำให้สังคมเท่าเทียมกัน รวมไปถึงเสื้อผ้าที่ต้องใส่อย่างเหมือนๆกัน ยกเลิกศาสนา ใครคิดต่างจึงต้องถูกกำจัด เหมือนตัวอย่างเช่น การปฎิวัติวัฒนธรรมในจีน โดย “ยุวชนแดง”(Red guard)
กลายเป็น ค่านิยมที่กลายพันธุ์ไปจากสิ่งที่ คาร์ล มาซ นำเสนอไปมาก
คาร์ล มาซนำเสนอเพียงพูดถึง โอกาส การศึกษา และ ความเป็นอยู่ที่ดีในปัจจัย4พื้นฐาน ที่รัฐผู้ปกครองควรมอบให้ประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย หลังจากที่ประชาชนทำงานให้แด่ความเจริญงอกงามของสังคม…และสิ่งที่มนุษย์ควรรักษาคือความเสมอภาคและมิตรภาพระหว่างมนุษย์
.
ดังนั้นในภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แนวคิดคลั่งคอมมิวนิสต์สุดโต่งจึงค่อยๆล่มสลายและหันกลับมาที่การบริหารบ้านเมืองแบบ centrist democrat หรือแปลเป็นไทยคือ ประชาธิปไตยสายกลาง หรือทางเลือกที่สาม …ซึ่งมีส่วนผสมระหว่างสังคมนิยมกับเสรีนิยม ที่แม้แต่ รัสเซีย และ จีนเองก็มีการนำไปพัฒนาต่อยอดแนวคิดเหล่านี้ให้เข้ากับบ้านเมืองของตนเอง (หลายคนคิดว่าจีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่วันนี้เขาไม่ใช่แล้วครับ เข้าแค่ใช้ข้อดีของระบคอมมินวสต์เป็นทุนเดิมเท่านั้น แต่การทำงานนั้นมีระบบทุนเข้ามาด้วย)
เพราะโลกควรมีความหลากหลายทางความคิดมิใช่ตัดหญ้าให้เตียนเสมอกัน การแบ่งปัญญา ควรเกิดขึ้นระหว่างวัยหนุ่มสายและผู้สูงวัยให้ ประสบการณ์ทองคำของแต่ละยุคสมัยหล่อหลอมเข้าด้วยกัน คนเราจึงจะเข้าใจว่าสังคมจะเดินก้าวหน้าไปได้อย่างไร
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในในการเคลื่อนไหว ที่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มคนเสื้อแดง – ขบวนการล้มเจ้า * รวมไปถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ จากกระแสของอนาคตใหม่ ที่ปลุกระดมเอา เยาวชนมา ฆ่าล้างผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้ เพราะมิใช่วิธีคิด ที่สนับสนุนความเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างที่กล่าว แต่เป็นเพียง ส่วนหนึ่งของ สงครามนอกรูปแบบอย่างสงครามข่าว( Information warfare) ที่นำเอาวัฒนธรรมและข่าวสารที่ถูกบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเองมาปลุกระดมกันก็เท่านั้น
เหมือนที่ พวกนักการเมืองของอนาคตใหม่พูดบ่อยๆว่าไอโอๆ นั้นแหล่ะ
การโกหกออกจากกล้อง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำสงครามข่าวนั้นแล
การออกมาปลุกระดมเรียกร้องความเท่าเทียมกันด้วยการกำจัด พวกที่เห็นต่างออกไปจากบ้านเมืองนั้นไม่ใช่แนวคิดประชาธิปไตย แต่เป็นแนวคิดก่อการร้ายใช้ปลุกระดมกันทั่วโลกในสมัยนี้ และหากเกิดขึ้นจริง การกำเนิดแนวคิดแบบ เขมรแดงที่สังหารหมู่ประชาชนเพียงเพื่อเอาชนะทางความคิดอาจซ้ำรอยในประเทศไทย
.
งานนี้ขอยกคำพูด ของ มาร์แชลล์ แมคลูแฮน นักปรัชญาการสื่อสารมวลชน ชาวแคนาดามาหน่อยเถอะว่า
“World War III is a guerrilla information war with no division between military and civilian participation.”
.
— Marshall McLuhan Canadian philosopher of media theory 1911 -1980
.
“ สงครามโลกครั้งที่สามเป็นสงครามสารสนเทศกองโจรโดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างการมีส่วนร่วมทางทหารและพลเรือน”
.
– มาร์แชลล์ แมคลูแฮน นักปรัชญาการสื่อสารมวลชน ช่วงปี ค.ศ.1911-1980
.
สิ่งที่จะยุดยั้งสงครามความขัดแย้งครั้งนี้ คือการยอมรับตัวตนของทุกฝ่ายและร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาชาติมากกว่า จ้องล้มล้างการปกครองเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ที่ตัวเราเองไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ของมัน
.
อีกทั้ง ถ้าคนไทยเรารักกัน เกื้อกูลกันมีน้ำใจให้กัน รับฟังกัน เอาชนะใจด้วยน้ำใจที่มีให้กัน การก่อร่างของสงครามความคลั่งฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ก็จะไม่เกิด … ประชาธิปไตยที่ดีควรเริ่มทีบ้าน และการแสดงออกทางประธิปไตยควรมีไว้เพื่อปกป้องประเทศอันเป็นบ้านเรา มิใช้ทำลายคนในบ้านของเราเพื่อประชาธิปไตยของใครก็ไม่รู้
.
รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย
จะเกิดภาคไหน ก็ไทยด้วยกัน
เชื้อสายประเพณี ไม่มีกีดกั้น
เกิดใต้ธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย
………………….