เยรูซาเล็มลุกเป็นไฟ หลังทรัมป์ประกาศรับรองเป็นเมืองหลวงอิสราเอล
การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าจะรับรองนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลนั้นได้จุดประกายให้ชาวปาเลสไตน์ออกมาก่อการประท้วงและเรียกร้องให้มี “อินตีฟาดะ” (การลุกขึ้นต่อต้าน) ครั้งใหม่ ขณะเดียวกันความหวาดกลัวว่าจะเกิดการนองเลือดก็ลุกลามไปทั่วภูมิภาค
ฝ่ายกองทัพอิสราเอลส่งกองกำลังทหารหลายร้อยกองเข้าประจำการเขตเวสต์แบงค์ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหลังการประกาศของทรัมป์
ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 6 ธันวาคม 2560 ได้มีเหตุการณ์ประท้วงตามชุมชนชาวปาเลสไตน์ ในนครเยรูซาเลม รวมทั้งบริเวณสำคัญได้แก่เมืองเบธเลเฮมและเมืองรามาล่า ในเขต West Bank และเมืองกาซ่าในเขต Gaza สืบเนื่องจากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้มีประกาศเกี่ยวกับสถานะของนครเยรูซาเลมทำให้มีกลุ่มที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความไม่พอใจและก่อเหตุประท้วงที่มีความรุนแรงในช่วงระยะนี้ ซึ่งคาดว่าเหตุการณ์จะมีความต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2560 นั้น
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ขอแจ้งให้คนไทยในอิสราเอล โดยเฉพาะในนครเยรูซาเลมและบริเวณใกล้เคียง ติดตามข่าวสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับมาตรการการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่น และขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนชุมนุมหนาแน่นด้วย
จากกรณีที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้มีการออกแถลงการณ์รับรองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดในปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล รวมทั้งอนุมัติแผนการย้ายที่ตั้งของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอลจากนครเทล อาวิฟ ไปยัง เยรูซาเล็ม ด้วย ซึ่งการแถลงการครั้งนี้มีรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เป็นสักขีพยาน
โดย ทรัมป์ ได้กล่าวว่าการถึงเวลาที่ประชาคมโลกควรตัดสินใจที่จะรับรองกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พร้อมกับตำหนิผู้นำสหรัฐคนก่อนๆ เช่น นายบิล คลินตัน , นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายบารัค โอบามา ว่าไม่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาเอาไว้ได้ ทั้งนี้เขาจะยังสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ตามแนวทาง 2 รัฐ ให้นำไปสู่การสถาปนารัฐปาเลสไตน์เคียงคู่กับรัฐอิสราเอล
ขณะที่ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ได้ออกมากล่าวยกย่องการประกาศของทรัมป์ว่าเป็นสิ่งที่กล้าหาญ และชอบธรรม รวมทั้งเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ที่จะสร้างสันติภาพ เพราะไม่มีเสรีภาพใดที่ไม่รวมถึงการที่เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมทั้งเตือนให้รัฐบาลปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาส หลีกเลี่ยงการสร้างบรรยากาศตึงเครียดในกรุงเยรูซาเลม เพราะถ้าหากมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้น ถือว่าอีกฝ่ายเดินเกมผิดพลาด และรัฐบาลอิสราเอลพร้อมรับมือเหตุการณ์ทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้
โดยหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ ชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซาได้พากันชุมนุมประท้วงโดยผู้นำของกลุ่มฮามาสเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์, มุสลิม และชาวอาหรับลุกฮือขึ้น และยกเลิกกระบวนการเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล เพื่อตอบโต้ต่อการที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
ชาวปาเลสไตน์หลายพันคนต่างตะโกนว่า “เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์” และได้พากันขว้างก้อนหินใส่ทหารอิสราเอล ขณะที่ทหารตอบโต้ด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูง และทำการยิงด้วยกระสุนจริงและกระสุนยางทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 31 ราย จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่อิสราเอล
ในขณะที่ทางด้านนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ หัวหน้ากลุ่มฮามาส พรรคการเมืองและกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ ออกมาตอบโต้ว่า จะไม่ยอมปล่อยให้การสมคบคิดนี้เกิดขึ้นได้ และการตัดสินใจของทรัมป์คือการเปิดประตูนรกให้กับสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอาหรับ นานาชาติต่างออกว่าวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก เช่น สหภาพยุโรปหรืออียู ฝรั่งเศส เยอรมนี ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ จอร์แดน และตุรกี รวมถึงล่าสุด สมเด็จพระสันตปาปา ฟรานซิส ซึ่งมีรับสั่งให้ปกป้องสถานะเดิมของนครเยรูซาเล็ม แม้พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก แต่ทรงเคารพคนในศาสนาอื่นเช่นกัน ส่วนทางด้านสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ได้กล่าวตำหนิสหรัฐฯอย่างหนักถึงเรื่องดังกล่าว ว่าเป็นการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) จะเตรียมประชุมฉุกเฉินภายในวันนี้เพื่อหารือกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว