เรื่องเล่าเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9
จาก พระพี่เลี้ยง “แหนน” หรือ อุบาสิกาท้าวอินทรสุริยาสรรพหารพิจาริณี
…จะให้ฉันเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร….
หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๗) ได้ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ รัฐสภาและรัฐบาลจึงได้กราบทูลอัญเชิญในหลวง ร.๘ ขึ้นครองราชย์
ขณะนั้นในหลวง ร.๘ มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษาเศษเท่านั้น ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนในเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
รัฐบาลได้แต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ (จิตร ณ สงขลา) ประธานรัฐสภาเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อยรัชกาลที่ ๘
พระพี่เลี้ยงเนื่อง จิตตดุล (ท้าวอินทรสุริยา) ตามเสด็จฯ พระราชชนก พระราชชนนี มาตลอด ได้เล่าเหตุการณ์ตอนนี้ให้ฟัง ว่า…
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงทราบเรื่อง แล้วรับสั่งกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ว่า….
“ฉันตัวเล็กอย่างนี้ จะให้ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร เดี๋ยวตาอ้วนอ้วนจะมาดุฉันเพราะฉันซนอยู่แล้ว…”
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ กราบทูลว่า “ไม่ต้องห่วงอะไร พะย่ะค่ะ”
ในหลวง ร.๘ ตรัสว่า “ฉันรู้ว่า ถ้าฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ลูกนัยน์ตาหลายคู่จะมาดูฉันคนเดียว เวลาให้ฉันไปนั่งบนเก้าอี้สูงสูง เดี๋ยวหกคะเมนลงมา ตาอ้วนก็ดุฉันอีก…”
“ตาอ้วน” ที่ทรงตรัสถึงนั้น..พระพี่เลี้ยงเนื่อง เข้าใจว่าหมายถึง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
จะเห็นได้ว่าแม้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ จะทรงพระเยาว์วัยเพียง ๙ พรรษา ก็ยังทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงตรัสได้อย่างคมคาย “…ถ้าฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ลูกนัยน์ตาหลายคู่จะมาดูฉันคนเดียว…” หมายถึงจะทรงเป็นเป้าสายตาของพสกนิกรจำนวนมาก
และทรงมีพระราชอารมณ์ขัน… “…ให้ฉันไปนั่งบนเก้าอี้สูงสูงเดี๋ยวหกคะเมนลงมาตาอ้วนก็ดุฉันอีก…” ทรงตรัสแล้วเห็นภาพชันเจนเลย เด็กตัวเล็กๆ ขึ้นไปนั่งเก้าอี้สูงๆ หกคะเมนลงมาแล้วจะเป็นอย่างไร ?
(ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ร.๘ ยุวกษัตริย์รัตนโกสินทร์ และหนังสือเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ๙ มิถุนายน ๒๕๒๙)
วันหนึ่งขณะพระพี่เลี้ยงกำลังปรุงอาหาร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะทรงพระเยาว์ได้ตรัสกับพระพี่เลี้ยงว่า
“..แหนน ขอทำด้วยซี..”
ท้าวอินทรสุริยาก็ให้พระองค์ทรงช่วยคั้นน้ำกะทิ
“..ตอนนั้นดิฉันอดขันไม่ได้ น้ำกะทิกระเด็นเปื้อนตามพระพักตร์และพระวรกายจนเลอะไปหมด กระทั่งน้ำกะทิก็หร่อยหรอจนเกือบหมดภาชนะ… พระองค์ลองได้สนใจอะไรแล้ว ดิฉันเป็นปล่อยให้ทำทันที เพื่อพระองค์จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร… ดิฉันอยู่ใกล้ชิดพระองค์มา ไม่เคยมีความลับอะไรอยู่ในพระองค์ แม้ว่าจะเคยทำภาชนะเสียหาย ต้องมาบอกดิฉันก่อนทุกครั้ง..”
เมื่อครั้งเสด็จกลับมาเมืองไทย รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ได้มีการงุบงิบนัดหมายเพื่อจะออกไปเดินเล่นที่วัดโพธิ์ซึ่งมีงาน ทั้งสองพระองค์แต่งอย่างธรรมดาเข้าร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเกิดจำได้เลยตะโกนบอกทั่วว่าในหลวงเสด็จ ทั้งสองพระองค์ก็เลยรีบเสด็จออกมาจากงานวัดทันที มีประชาชนห้อมล้อมตามมาส่งถึงประตูวิเศษไชยศรี และทรงตอบกับประชาชนว่า “ขอบใจ”
รัชกาลที่ 9 ก็มาบอกกับดิฉันว่า “..แหนน สนุกกันใหญ่เชียว..”
อีกคราวหนึ่งเสด็จเที่ยวตลาดสำเพ็งกันตามลำพัง จนแขกคนหนึ่งจำได้เลยถามว่า “..คุณแม่ไม่ได้มาด้วยหรือ..”
รัชกาลที่ 9 ทรงตอบว่า “ไม่ได้มาด้วยจ้ะ” ดิฉันเองอดขันไม่ได้ บางครั้งพระราชชนนีก็กริ้วกับดิฉันและตรัสว่า “..นี่ก็ลูกของฉันเหมือนกัน..”
เมื่อคราวประทับที่พระราชวังไกลกังวล ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเล่นสกีน้ำ เผอิญสกีฟาดเอาตรงที่พระเพลา กระดูกร้าว พระองค์ไม่ให้ใครช่วยพยุง พยายามพาพระองค์กลับไปที่ตำหนัก ไม่แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
ตอนพระองค์อยู่กับดิฉัน ดิฉันถามว่าเจ็บไหม พระองค์เปิดเผยว่า “..เจ็บซีแหนน..” ครานั้นถึงกับต้องเข้าเฝือกกันทีเดียว
เมื่อเสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดต่างๆ ทรงกลับมาเล่าว่า
“..แหนน ที่ไปนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเมื่อเห็นประชาชนแล้ว สงสารเหลือเกิน เขามาต้อนรับฉัน ฉันเห็นแล้วอดเมตตาสงสารเขาไม่ได้..”
ดิฉันเคยทูลลาหลายครั้ง ขอให้แหนนไปพักผ่อนเถอะ แต่ท่านเฉยไม่ตอบอะไร ดิฉันไปวัดทุกวันพระท่านก็ทรงอนุญาต
จนเมื่อพระองค์เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดและคืนสู่กรุงเทพแล้ว วันหนึ่งตรงกับต้นปี พ.ศ. 2505 ขณะพระองค์กำลังทรงพระบรรทม อุบาสิกาท้าวอินทรสุริยาฯ ก็ถือดอกไม้ค่อยหมอบไปใกล้พระองค์ แล้วนำช่อดอกไม้ใส่อุ้งพระหัตถ์ ทันที
พระองค์สะดุ้งขึ้นนิดหนึ่งตรัสออกมาคำเดียว “..อื้อ..”
ท้าวอินทรสุริยาจึงกราบบังคมทูลว่า
“ทูลลา…”
ท่านลุกขึ้นนั่ง มอง และไม่ตรัสว่าอะไร
“..ถ้าท่านไม่อนุญาตให้แน๋นไป แน๋นจะต้องไปโกนหัวละ..”
ที่สุดพระองค์จึงตรัสว่า
“..นี่แหนนจะไปจริงๆ หรือ..”
“..ไปจริงๆ ซิ..”
อุบาสิกาท้าวสุริยาฯ ทูลตอบ
พระองค์ให้ศีลให้พรอยู่นาน ทรงขอคำสัญญาอีกว่า ถ้าจะไปอยู่ที่ใดต้องการสิ่งใด ป่วยไข้ขึ้นมา จะต้องให้รีบกราบทูลบอกตลอดระยะเวลา
“..พระองค์ทรงเป็นห่วง ดิฉันซาบซึ้งตื้นตันไปหมด ถ้าวันไหนดิฉันยังตัดโลกไม่ขาดจะนึกถึงพระองค์ทุกครั้งไป..”
อุบาสิกากล่าวด้วยน้ำเสียงเครือ
“..เป็นบุญของคนไทยแล้ว ที่มีพระมหากษัตริย์เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยสูงสุด มีน้ำพระทัยเมตตาต่อคนทุกคน…”
***
อุบาสิกาท้าวอินทรสุริยาสรรพาหารพิจาริณี (10 ธันวาคม 2428 – 16 ตุลาคม 2517) นามเดิม เนื่อง จินตดุลย์ เป็นพระสหายนักเรียนพยาบาลรุ่นพี่ 1 ปีกับสมเด็จพระราชชนนีที่ศิริราช เคยสัญญากับสมเด็จย่าก่อนที่สมเด็จพระพี่นางฯ ประสูติว่า จะทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงให้ อยู่ในราชสำนักเป็นพระพี่เลี้ยงและราชการอื่นๆ ร่วม 40 ปี รวมถึงเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าฟ้าชายและเจ้าฟ้าหญิงทุกพระองค์จนอายุ 75 ปี จึงได้กราบทูลลา มาเป็นชีบำเพ็ญกุศล วันที่ให้สัมภาษณ์ท้าวสุริยาฯอายุได้ 78 ปีแล้ว
จากหนังสือ สี่เจ้าฟ้า ฉบับสมบูรณ์
โดย ลาวัณย์ โชตามระ พ.ศ. 2512