วันอาทิตย์ 22 ธันวาคม 2024
  • :
  • :
Latest Update

แดงล้มเจ้าเพ้อ”โลกล้มบิ๊กตู่” นัด10ก.พ.โชว์พลังล้มคสช.

โพลเผยประชาชนส่วนใหญ่กังวลขัดแย้งเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง หวั่นเกิดเหตุรุนแรงบานปลาย  ญาติวีรชนพฤษภา 35 วอน “บิ๊กตู่” พูดให้ชัดเป็นครั้งสุดท้ายเลือกตั้งได้เมื่อไหร่ จี้ “ป้อม” ไขก๊อกลดการเผชิญหน้า “สุริยะใส” แนะปฏิรูป 360 องศากู้วิกฤติขาลง ด้าน “องอาจ” เตือนนายกฯ แก้ปัญหาไม่ตรงจุดขาลงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ก๊วนแดงต่างแดนปลุกแนวร่วมเมืองไทยชุมนุมไล่ คสช. 10 ก.พ. ปลุกมวลชนทั่วโลกร่วมแสดงพลัง “จารุพงศ์” ขู่ตกต่ำเมื่อไหร่เจอชำระบัญชีแน่ “สุนัย” ลั่นสถานการณ์ไปไกลหากประยุทธ์ไม่ออกจะซ้ำรอย 14 ตุลา 16

เมื่อวันอาทิตย์ นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความกังวลขัดแย้งเรื่องเลือกตั้ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวน 1,463 ตัวอย่าง  ระหว่างวันที่ 20 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2561 พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.9 กังวลความขัดแย้งเรื่องเลือกตั้ง เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น หวั่นรุนแรงบานปลาย บ้านเมืองหยุดชะงัก ผู้ไม่หวังดีทั้งในและต่างประเทศบ่อนทำลายความสงบชาติ กระทบเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวให้ทรุดลงไปอีก เดือดร้อนปัญหาปากท้องมากมายอยู่แล้ว หวั่นมือที่สามแฝงตัวป่วนสร้างสถานการณ์ ในขณะที่ร้อยละ 38.0 ไม่กังวล  และร้อยละ 3.1 ไม่ออกความเห็น

เมื่อแบ่งตามช่วงอายุพบว่าคนสูงอายุส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.7 กังวลความขัดแย้งเรื่องเลือกตั้งมากกว่าทุกกลุ่ม คือกลุ่มคนวัยทำงานร้อยละ 59.0 และกลุ่มเยาวชนร้อยละ 58.4 ในขณะที่กลุ่มเยาวชนไม่กังวลมากกว่ากลุ่มอื่นคือร้อยละ 39.7 ของเยาวชน ร้อยละ 37.6 ของคนวัยทำงาน และร้อยละ 35.3  ของคนสูงอายุที่ไม่กังวล เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่าคนที่จบปริญญาตรีส่วนใหญ่หรือร้อยละ  63.1 กังวลความขัดแย้งเรื่องเลือกตั้ง มากกว่าคนที่จบต่ำกว่าปริญญาตรีที่มีอยู่ร้อยละ 53.6

ขณะเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ความเคลื่อนไหวทางการเมือง” ในช่วงนี้ โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,217 คน ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์  2561 พบว่าเรื่องเลื่อนเลือกตั้งมีประชาชนสนใจมากที่สุด 84.63% มีความวิตกกังวล 59.81% ไม่มีความวิตกกังวล 40.19% เหตุผลเพราะอยากรู้ว่าจะเลือกตั้งเมื่อใด เหตุผลที่แท้จริงในการเลื่อนเลือกตั้งของรัฐบาลมีผลต่อการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ ฯลฯ

ส่วนเรื่องการโต้ตอบทางการเมืองของรัฐบาลกับนักการเมืองและกลุ่มเคลื่อนไหว มีประชาชนสนใจ  66.72% วิตกกังวล 49.75% ไม่วิตกกังวล 50.25% เหตุผลเพราะอยากรู้ข้อเท็จจริง มีหลายประเด็นที่น่าติดตาม จะได้เห็นแนวคิด เหตุผล และท่าทีของแต่ละฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจะออกมาแก้ปัญหาอย่างไร ฯ
ขณะที่เรื่องความเคลื่อนไหวกลุ่มต้านรัฐบาล กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย มีประชาชนสนใจ 53.41% มีความวิตกกังวล 55.38%     ไม่วิตกกังวล 44.62% เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะบานปลายหรือไม่ จะมีใครหรือคนกลุ่มใดออกมาร่วมด้วยอีก ใครอยู่เบื้องหลัง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร ฯลฯ

ส่วนเรื่องคดีทางการเมืองที่ค้างคา มีประชาชนสนใจ 49.71% มีความวิตกกังวล 57.69% ไม่วิตกกังวล 42.31% เพราะอยากให้ดำเนินคดีอย่างถูกต้อง เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ผู้ที่ทำผิดจะได้รับการลงโทษอย่างไร เป็นคดีสำคัญที่หลายฝ่ายจับตามองรัฐบาล ฯลฯ

ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 พร้อมด้วยตัวแทนญาติ แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลสร้างความปรองดองก่อนความขัดแย้งจะบานปลาย โดยระบุว่าตลอดเวลากว่า 3 ปีที่ประชาชนให้เวลา คสช.ในการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ แต่ คสช.กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความไว้เนื้อเชื่อใจของสาธารณชน คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้เฝ้าติดตามความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองมาโดยตลอด หากผู้มีอำนาจไม่รักษาสัจวาจาที่มีต่อประชาชน ขอได้โปรดอย่าเสียสัตย์เพื่ออำนาจอีกเลย และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหตุการณ์พฤษภา 2535 จึงมีข้อเรียกร้องดังนี้
จี้ป้อมออกลดเผชิญหน้า

1.นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต้องประกาศเป็นสัญญาประชาคมให้ชัดเจนเป็นครั้งสุดท้ายว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้เมื่อไหร่ และต้องไม่เลื่อนโรดแมปอีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในประเทศและนานาชาติ 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ต้องพิจารณาตนเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งกรณีไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรู เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรม มีความสง่างามทางการเมือง เสียสละเพื่อประเทศชาติและลดการเผชิญหน้าทางสังคม 3.รัฐบาลสามารถใช้อำนาจทางบริหารตาม ม.21 พ.ร.บ.องค์กรอัยการ พ.ศ.2553 ชะลอหรือระงับการดำเนินคดีนักโทษทางการเมืองและนักโทษทางความคิดทั้งหมด เพื่อขจัดความขัดแย้ง สร้างการปรองดองสมานฉันท์ในหมู่ประชาชน 4.ไม่ใช้อำนาจพิเศษในบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมทางการเมือง
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คสช.จะตระหนักถึงสถานการณ์ที่อ่อนไหว ไม่ใช้อำนาจแบบพร่ำเพรื่อกระทั่งนำไปสู่การเผชิญหน้าทางสังคม โดยนำตัวเองไปเป็นคู่ขัดแย้งสร้างเงื่อนไขความรุนแรงเสียเอง ซึ่งหากเกิดวิกฤติครั้งนี้จะรุนแรงกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กลายเป็นเคออส (chaos) ทางการเมือง จึงขอให้เร่งพิจารณาตามข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อดังกล่าว เพื่อขจัดความขัดแย้ง คืนความสุขให้ประเทศชาติโดยเร็ว” ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ระบุ
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า กระแสรุมเร้ารัฐบาลในขณะนี้จนหลายฝ่ายมองว่าเป็นกระแสขาลงนั้น  หากรัฐบาลไม่สามารถหยุดกระแสนี้ได้ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งพรรคทหารหรือพรรคที่เชียร์ทหาร หรือดับฝันนายกฯ คนนอกหลังเลือกตั้งครั้งหน้าได้ การกอบกู้ศรัทธาจากประชาชนในสภาวะแบบนี้ถือเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ลำพังจะเดินหน้ามาตรการไทยนิยมเต็มสูบเพื่อกู้วิกฤติศรัทธาอย่างเดียวก็คงพอทำได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ง่ายเพราะแม้หลายเรื่องที่เป็นมาตรการที่ดีๆ ของรัฐบาลที่ทยอยออกมาถี่ขึ้นในช่วงนี้ แต่ก็ดูเหมือนถูกข่าวนาฬิกาบิ๊กป้อมบดบังไปเสียทั้งหมด
“การปลุกม็อบเชียร์หรือการออกมาตอบโต้จะไม่ช่วยให้เรื่องนี้ได้ข้อยุติ แต่กลับจะสร้างปัญหาต่อเนื่องและมีปัญหาใหม่ตามมา อย่าลืมว่าบทเรียนของรัฐบาลทุกรัฐบาลในช่วงขาลง มักเลือกใช้การจัดตั้งกองเชียร์ออกมาเคลื่อนไหว แต่สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้เพราะความจริงก็คือความจริง การจัดการปัญหาภายในรัฐบาลก็ยังเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันคือ การดึงไม่ให้คนที่เคยเป็นกองหนุนกลายเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนเหมือนกัน ฉะนั้นการปฏิรูปประเทศแบบปฏิรูป 360 องศา ลงมือปฏิรูปในสิ่งที่ประชาขนคาดหวังทันทีและทันตาเห็น เพื่อดึงมวลชนที่เคยคาดหวังหรือกระทั่งบางคนอาจหมดหวังไปแล้ว ให้กลับมาเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลอาจจะเลือกทำ  3-4 เรื่องใหญ่ๆ เพราะรัฐบาลยังมีอำนาจเต็มในมือสามารถทำได้เลย และก็มีข้อเสนอดีๆ พิมพ์เขียวปฏิรูปที่สำคัญน่าสนใจ ซึ่ง สปช.และ สปท.ศึกษาค้นคว้าไว้แทบจะครอบคลุมทุกเรื่อง และส่งมอบให้รัฐบาลไปแล้ว” นายสุริยะใสระบุ ไม่แก้ไขขาลงกว่าเดิม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่การทำงานในปีท้ายๆ ของรัฐบาลจะอยู่ในช่วงขาลงว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง น่าจะมาจากสาเหตุสำคัญ 4 ประการ คือ 1.ปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ซึ่งรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสมาเป็นระยะ จากความพยายามหาประโยชน์จากโครงการต่างๆ จนมาปะทุเป็นเชื้อไฟลามทุ่งเมื่อผู้คนมุ่งจับจ้องมาที่เรื่องนาฬิกา 2.เรื่องการสืบทอดอำนาจ แต่เดิม พล.อ.ประยุทธ์   แสดงตนอยู่ในสถานะกรรมการใช้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ปรับเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้น แต่เมื่อประกาศตัวเป็นนักการเมือง มีความพยายามใช้กลไกต่างๆ ที่ตนเองสร้างขึ้นมาผ่านแม่น้ำ 5สาย ส่งผลให้ถูกมองถึงการสืบทอดอำนาจชัดเจนขึ้น
3.เรื่องความเชื่อมั่น เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามามีอำนาจใหม่ๆ ได้ประกาศเรื่องการปฏิรูปประเทศ  เรื่องการปรองดองของคนในชาติ แต่เวลาผ่านมาเกือบ 4 ปี การปฏิรูปไม่สามารถสัมผัสได้ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปสังคมลดความเหลื่อมล้ำ เรื่องการปรองดองก็ยังเป็นเรื่องล่องลอยอยู่ในอากาศ ไม่มีอะไรที่เห็นเป็นรูปธรรม การเลือกตั้งถูกเลื่อนมาตามลำดับ 4.ปัญหาการแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ถึงแม้รัฐบาลจะโฆษณาว่าเศรษฐกิจโดยรวมดีอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงที่ประชาชนสัมผัสได้ ไม่ได้เป็นไปดังคำโฆษณา
“ถ้านายกฯ ไตร่ตรองทบทวนดูให้ดีและหาวิธีการแก้ไข ก็อาจจะมีส่วนช่วยให้สภาวะขาลงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามกลไกอำนาจต่างๆ โดยไม่ยอมแก้ไข ก็ย่อมทำให้กลายเป็นสภาวะขาลงมากยิ่งขึ้น ปัญหาซ้อนปัญหาจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติโดยรวมและไม่เกิดผลดีต่อใครทั้งสิ้น จึงอยากเห็นนายกรัฐมนตรีแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดหยุดสภาวะขาลง เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ด้วยดีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมต่อไป” นายองอาจ กล่าว
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปี 2562 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ตนยังหวั่นกับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งหากมีการคว่ำกฎหมาย ส.ว.จริง ก็จะไม่ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด จะเป็นการเลื่อนเลือกตั้งไปอย่างไม่มีกำหนด ขอร้องอย่าทำอย่างนี้เลย ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลเข้าใจว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการวันนี้คือการเลือกตั้ง ซึ่งหากมีการเลื่อนเลือกตั้งไปเรื่อยๆ จะไม่ส่งผลดีต่อบ้านเมือง รวมถึงกรณีการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรที่จะทำให้เกิดขาลงได้
ส่วนกรณีที่เริ่มมีการล่ารายชื่อให้ พล.อ.ประวิตรลาออกจากตำแหน่ง และขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตรก็พูดเองว่า “ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมไปจากตำแหน่งนี้” แต่ขณะนี้ พล.อ.ประวิตรเองก็ยังนิ่งเฉย พล.ต.ท.วิโรจน์กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรใช้คำพูดแบบนักการเมืองรุ่นเก่า เป็นลีลาของนักการเมือง ซึ่ง พล.อ.ประวิตรอาจจะไม่ลาออกจากตำแหน่งอย่างที่พูดไป ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ถามกลับประชาชนว่าต้องการแบบเดิมๆ หรือต้องการแบบที่ทำอยู่นั้น ตนตอบเลยว่าประชาชนต้องการเลือกตั้ง  พล.อ.ประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องไปถามเรื่องอื่น เพราะตนไปไหนมีแต่คนเรียกร้องเรื่องนี้ เจอ 10 คนก็ถามมากว่า 9 คนแล้ว
แดง-เหลืองออกมาหมด
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กล่าวถึงกลุ่มที่สนับสนุนอยากให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมนัดหมายชุมนุม 10 ก.พ. รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงในต่างประเทศก็ออกมาเรียกร้องให้เสื้อแดงในไทยร่วมกันออกมารวมพลังให้มากว่า กลุ่มคนที่เรียกร้องอยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ เป็นสิทธิ์ของเขา เมื่อรัฐบาลเลื่อนออกไปทำให้เขาไม่พอใจ ถึงแม้มีการออกมามากคงไม่มีอะไร เป็นการแสดงออกปกติทางการเมือง วันที่ 10 ก.พ.ตนคงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้ใครออกมา อยู่ที่ความเดือดร้อนของคนคนนั้น ไม่จำเป็นต้องเสื้อแดงอย่างเดียว คนเสื้อเหลืองหรือพวกสลิ่ม  กลุ่มคนที่เคยเรียกร้องรัฐประหาร แต่วันนี้บ้านเมืองแย่ ได้รับผลกระทบยังออกมาเหมือนกับนายวีระ สมความคิด
“ส่วนนักศึกษาที่ได้รับข้อมูล เขาไม่พอใจ อยากให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็ออกมา  ถ้าออกมามากก็คงเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา ช่วงนั้นเผด็จการอยู่ไม่ได้ อยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นคิดอย่างไร ในวันที่ 10 ก.พ.อยากดูว่าจะเป็นอย่างไร วันนั้นอาจเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้ หากทุกฝ่ายอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า มีผู้ปกครองมีสัจวาจา ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ สมควรออกมาแสดงอะไรให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจ แต่ที่พูดไม่ได้ยุยงให้ออกมาเดินขบวน” นพ.เชิดชัยกล่าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี  “ซูเปอร์โพล” ระบุ ประชาชนส่วนใหญ่กังวลความขัดแย้งจากการเลือกตั้งว่า ประชาชนอาจสงสัยว่าสำนักโพลนี้มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะสำนักโพลอื่นๆ สำรวจความคิดเห็นทีไรก็สะท้อนว่าประชาชนอยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่โพลที่สวนกระแสกับความเห็นของประชาชนทั้งประเทศไม่แน่ใจว่าทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานใดหรือจากใครหรือไม่ การเลือกตั้งนั้นนอกจากจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งแล้ว ยังเป็นหนทางแห่งการดับความขัดแย้งอย่างเป็นสากลและดีที่สุด เชื่อมั่นว่าไม่มีนักการเมืองในระบบรัฐสภาที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติคนใดหาประโยชน์จากความขัดแย้ง และถ้าทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย ยึดมั่นประชาธิปไตย และสันติวิถี ความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
มีความเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย และผู้หลบหนีในต่างประเทศตามหมายจับข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กล่าวผ่านรายการเข็มทิศประเทศไทยทางยูทูบเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ปลุกระดมคนเสื้อแดงในประเทศไทยและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร ให้ร่วมกันออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาล คสช.ในวันที่ 10 ก.พ.ว่า รัฐบาล คสช.ไม่ใช่ขาลงแต่ห่าลงไปแล้ว การรัฐประหารง่ายแต่การรักษาอำนาจมันยาก รัฐบาลประยุทธ์ตื๊อมาเกือบ 4 ปี หมดเวลาฮันนีมูน คนเบื่อเต็มที พล.อ.ประยุทธ์พูดกับผู้นำโลก ผู้ที่จะมาลงทุนในประเทศไทย สหประชาชาติ ต่อมาก็มาเลื่อนเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตรบอกยืมนาฬิกาเพื่อนมาและเพื่อนก็ตายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้แม้แต่เด็กอมมือฟังแล้วยังหัวเราะ ป.ป.ช.ก็ไม่ตรวจสอบ เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรัฐบาลขาลง เช่นเดียวกับการส่งออก ลงทุนติดลบ คนตกงาน
แดงปลุกมวลชนหนุน 10 กพ.
“เด็กคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจ่านิว โรม ทนายอานนท์ ออกมาอภิปรายลานสกายวอล์กเมื่อ 28 ม.ค. และนัดชุมนุม 10 ก.พ. แต่ คสช.กลัวมาก ออกหมายเรียก คงจะจับกุมหรือข่มขู่แกนนำ 8 คนห้ามชุมนุม 10 ก.พ. สิ่งต่างๆ เหล่านี้เท่ากับยั่วยุ แหย่รังแตน เชื่อว่าจะมีคนออกมาไล่ประยุทธ์มากกว่านี้ หากจับกุมแกนนำไป เขาคงมีเงื่อนไข อาจลามต่อรองให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่จับกุมมาทั้งหมดด้วย  เป็นเรื่องของขาลง พล.อ.ประยุทธ์ การยกระดับขับไล่ คสช.ออกไป ต้องตระหนัก ต้องพูดถึงอิสรเสรีภาพ  ความยุติธรรม อยากเห็นนักศึกษา คนทั้งชาติทัดเทียมอารยประเทศ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุด  การยกระดับต้องพูดให้ประชาชนทั้งหมด ท่านที่ฟังแล้วเห็นด้วย ขยายต่อไปยังกลุ่มของท่าน จะ 5-10 คนก็แล้วแต่ เราจะขยายไปเรื่อยๆ เป็นเรือนหมื่นเรือนแสน” นายจารุพงศ์กล่าวตอนหนึ่ง
ในตอนท้ายนายจารุพงศ์ยังขู่ไปถึงกระบวนการตัดสินใช้อำนาจไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะคดีจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า วันหนึ่งที่คุณตก ประชาชนเป็นใหญ่ ผู้พิพากษาศาลทั้งหลายที่มีสำนวนออกไปไม่ชอบ จะต้องชดใช้รับผิดชอบ กรรมจะตามทัน ประชาชนไม่ยอม เขาจำได้ จะตามมาชำระบัญชีกับคุณในที่สุด
นายสุนัย จุลพงศธร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งแนวร่วมคนเสื้อแดงที่หนีการจับกุมไปอยู่ต่างประเทศ จัดรายการผ่านยูทูบเกาะติดคิดทันข่าวเมื่อวันที่ 1 ก.พ. มีเนื้อหาทำนองเดียวกันว่า หลังจากนักศึกษาออกไปเรียกร้องไม่ให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง ไม่ถึง 7 วัน สถานการณ์ไหลไปถึงขั้น พล.อ.ประวิตรออกก็ไม่จบ แต่ คสช.ต้องออกแล้ว สถานการณ์ถูกกระตุ้นจาก คสช.เอง หลัง พล.อ.ประวิตรประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หากประชาชนไม่เอาจะลาออก แล้วประชาชนจะแสดงออกได้อย่างไร  มีทางเดียวต้องออกจากบ้าน ทุกครั้งที่มีการชุมนุม โดยเฉพาะวันที่ 10 ก.พ.ต้องฟังแกนนำว่าจะนำเสนอแบบไหน จะมียุทธวิธีขยับทีละขั้นๆ แสดงเจตนาให้มากที่สุด วันนี้ทางออกคุณประยุทธ์ไม่มี และจะนำเชื้อไปสู่ความไม่สงบในบ้านเมือง จนกระทั่งถึงพึ่งพระบารมีกันแน่นอน ถ้าคุณประยุทธ์ไม่ถวายบังคมลา  เชื่อว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จะมา
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก RED USA Thai Voice International ออกแถลงการณ์ 10 กุมภาวันขับไล่เสนียด ทวงสิทธิเลือกตั้ง มีเนื้อหาเชิญผนึกกำลังเป็นหนึ่งร่วมกับนักวิชาการ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในวันที่ 10 ก.พ. 2018 ขับไล่เผด็จการ คสช.และโจรกบฏที่เป็นเหลือบเกาะกินประเทศไทย ผลาญภาษีของคนไทยมาแรมปี ขอเชิญคนไทยผู้รักประชาธิปไตยจากทุกมุมโลกจงแสดงพลังให้โลกรู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่กบฏ คสช.และคณะต้องไสหัวไป เชิญคนไทยทั้งโลกแสดงพลังและผนึกกำลังให้เป็นหนึ่ง  โดยถ่ายภาพกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของท่านโพสต์ลงสื่อออนไลน์ให้มันล้นทะลักโซเชียลมีเดีย ว่าคนไทยไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกไม่ต้องการประยุทธ์ ไม่ต้องการประวิตร ไม่ต้องการ คสช. และไม่ต้องการเครือข่ายอำมาตย์เผด็จการ ดังนั้นจงไสหัวไป
“วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2018 ขอเชิญคนไทยในประเทศไทยพบกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร และขอเชิญคนไทยผู้รักประชาธิปไตยจากทุกมุมโลกผนึกกำลังจัดกิจกรรมในที่ตั้งของตนขับไล่เสนียดแผ่นดินให้ไสหัวไป โดยพร้อมเพรียงกัน” RED USA ระบุ
ด้าน พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงภาพรวมการจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ไม่มีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อย เห็นได้ถึงการรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ของทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยฝ่ายความมั่นคงได้เข้าไปดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกตั้งแต่ก่อนการจัดงาน จนมาถึงวันจัดงานและหลังจัดงาน ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์ตามแผนที่วางไว้ เราไม่ได้ห้ามล้อประเด็นนาฬิกาหรือห้ามล้อเลียนการเมืองใดๆ ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็เป็นสิ่งสะท้อนแนวคิดคนรุ่นใหม่ที่สังคมต้องรับฟัง ส่วนคนที่ไปปลุกกระแสต่างๆ ก่อนหน้านี้เชื่อว่าคงจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ.